นิติบุคคล มีกี่ประเภท ?
นิติบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ประเภทของนิติบุคคลทั้งสองประเภทนี้จะมีลักษณะการจัดตั้ง การดำเนินงาน และการบริหารที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประเภทที่ 1 นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(นิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน) มีด้วยกัน 5 ประเภทได้แก่
1) บริษัทจำกัด (Limited Company)
เป็นนิติบุคคลที่มีทุนแบ่งออกเป็นหุ้นมูลค่าเท่าๆ กัน ผู้ถือหุ้นจะรับผิดชอบในหนี้สินของบริษัทไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังชำระไม่ครบค่าหุ้น
2) ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership)
เป็นนิติบุคคลที่ประกอบด้วยหุ้นส่วนตั้งแต่สองคนขึ้นไป หุ้นส่วนทุกคนมีส่วนร่วมในการบริหารงานและมีความรับผิดชอบไม่จำกัดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วน
3) ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership)
เป็นนิติบุคคลที่ประกอบด้วยหุ้นส่วนสองประเภทคือ หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดชอบ (General Partner) ที่มีความรับผิดชอบไม่จำกัด และหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดชอบ (Limited Partner) ที่มีความรับผิดชอบจำกัดเพียงจำนวนเงินที่ลงทุน
4) สมาคม (Association)
เป็นนิติบุคคลที่บุคคลหลายคนร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ไม่แสวงหากำไร เช่น สมาคมวิชาชีพ สมาคมกีฬา เป็นต้น
5) มูลนิธิ (Foundation)
เป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อการกุศล ศาสนา วิทยาศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปกรรม หรืองานสาธารณะประโยชน์อื่น ๆ โดยมีทรัพย์สินที่ผู้ก่อตั้งมอบให้เพื่อใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์
ประเภทที่ 2 นิติบุคคลตามกฎหมายอื่น
(นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน) เหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายที่เฉพาะเจาะจง และมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจกรรมที่แตกต่างกันไปตามหน้าที่และบทบาทที่กฎหมายกำหนดให้ ดังนี้
1) นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติ (Public Juristic Persons)
เช่น บริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด และสหกรณ์ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ เป็นต้น
2) นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะกำหนด (Specific Legal Entities)
องค์การมหาชน (Public Organization) ที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการบริการสาธารณะ เช่น สำนักงานประกันสังคม
3) หน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐ (Government and State Entities)
รวมถึงหน่วยงานต่างๆ เช่น วัด จังหวัด กระทรวง ทบวง กรม ที่มีบทบาทและหน้าที่ในการบริหารงานของรัฐและการบริการประชาชน
4) องค์กรวิชาชีพและการศึกษา (Professional and Educational Institutions)
เช่น มหาวิทยาลัยที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะเพื่อดำเนินการด้านการศึกษาและวิจัย
นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา แตกต่างกันอย่างไร?
บุคคลธรรมดา หมายถึง บุคคลที่มีชีวิตจริง ผู้ที่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายสถานะทางกฎหมายตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต เมื่อดำเนินธุรกิจบุคคลธรรมดา ธุรกิจนี้มีเจ้าของเพียงคนเดียวและไม่ต้องจดทะเบียนกับหน่วยงานราชการ ธุรกิจบุคคลธรรมดาสามารถเกิดขึ้นเองได้ แต่นิติบุคคลไม่สามารถทำทุกอย่างเหมือนบุคคลธรรมดาได้ ยกเว้นสิทธิและหน้าที่บางอย่าง เช่น สิทธิในครอบครัวและทางการเมือง นอกจากนี้ บุคคลธรรมดาต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของกิจการ
แต่ว่า นิติบุคคล จะเป็นเพียงบุคคลสมมติที่ไม่มีชีวิต ร่างกาย หรือสติปัญญา จึงต้องมี “ผู้แทนนิติบุคคล” เพื่อแสดงสิทธิ หน้าที่ และความประสงค์ของนิติบุคคล นิติบุคคลต้องจดทะเบียนธุรกิจก่อนเริ่มดำเนินการ เนื่องจากมีสถานะที่แตกต่าง และภาระหนี้สินแยกจากเจ้าของกิจการ นิติบุคคลต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยรูปแบบภาษีที่นิยม ได้แก่ บริษัทและห้างหุ้นส่วนจำกัด นอกจากนี้ ยังต้องจัดทำรายงานทางบัญชีและมีผู้ตรวจสอบบัญชี อีกด้วย
กฎเกณฑ์และเงื่อนไขของบุคคลธรรมดา
- จะต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และได้สมรสถูกต้องตามกฎหมาย จะถือว่าเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ
- การที่บุคคลต้องไม่เป็น “บุคคลไร้ความสามารถ”
- โดยบุคคลที่ถือว่าเป็นผู้เยาว์, ผู้ไร้ความสามารถ, และผู้เสมือนไร้ความสามารถ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม, ผู้อนุบาล, หรือผู้พิทักษ์ ตามลำดับตามกฏหมายก่อน ถึงจะทำนิติกรรมได้
ขั้นตอนการจดทะเบียนนิติบุคคลที่เข้าใจง่ายและครอบคลุม
1) ตรวจสอบและจองชื่อบริษัท ตรวจสอบความพร้อมใช้งานของชื่อบริษัทที่ต้องการและจองไว้เพื่อป้องกันการซ้ำซ้อน
2) จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ ร่างเอกสารที่ระบุวัตถุประสงค์ กฎระเบียบ และโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท
3) จองซื้อหุ้นและประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นจองซื้อหุ้นและประชุมเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทและอนุมัติหนังสือบริคณห์สนธิ
4) ประชุมจัดตั้งคณะกรรมการบริษัท คณะกรรมการบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งจะประชุมเพื่อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและวางแผนการดำเนินงาน
5) ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ชำระค่าธรรมเนียมที่กำหนดให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนนิติบุคคล
6) รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียน เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว บริษัทจะได้รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งเป็นหลักฐานการจัดตั้งบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย