ไฟโรงงาน แสงสว่างในโรงงาน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อทั้งประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัยของพนักงาน หากแสงไม่เพียงพอหรือจัดวางไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดความผิดพลาดและเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ ดังนั้น การออกแบบระบบไฟส่องสว่างให้สอดคล้องกับ ค่าแสงสว่างตามมาตรฐาน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ประกอบการควรใส่ใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำงาน ช่วยให้พนักงานมองเห็นได้ชัดเจน ลดข้อผิดพลาดในการหยิบจับสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตได้อย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงหลักการใช้แสงสว่างในโรงงานอย่างถูกวิธี พร้อมเทคนิคในการเลือกไฟให้เหมาะกับพื้นที่ เพื่อให้โรงงานของคุณได้ค่าแสงที่ดีทั้งในด้านมาตรฐานและการใช้งานจริง
สารบัญ
1. การเลือกหลอดไฟ ให้ได้ค่าแสงสว่างมาตรฐานไฟโรงงาน
2. ประเภทของหลอดไฟ ที่ใช้ใน โรงงาน คลังสินค้า
- หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent lamps)
- หลอดเมทัลฮาไลด์ (Metal Halide lamps)
- หลอดโซเดียมแรงดันสูง (High-pressure sodium lamps)
3. ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกหลอดไฟสำหรับคลังสินค้า
6.การวางตำแหน่งและกระจายหลอดไฟ
การเลือกหลอดไฟ ให้ได้ค่าแสงสว่างมาตรฐาน ไฟโรงงาน
โกดังอุตสาหกรรม หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ Warehouse คือพื้นที่สารพัดประโยชน์ที่ใช้ทั้งเก็บของ วัสดุ และสินค้าจากกระบวนการผลิตต่างๆ โดยปกติโกดังแบบนี้จะมีเพดานสูงราว 10-20 เมตร และมีการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 18,000–25,000 หน่วยต่อเดือน คิดเป็นค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 72,000–100,000 บาทเลยทีเดียว ดังนั้นการเลือกใช้หลอดไฟที่ให้แสงสว่าง ไฟโรงงาน ได้เหมาะกับพื้นที่คลังสินค้าจึงสำคัญมาก ไม่ใช่แค่ช่วยให้พนักงานทำงานได้ปลอดภัยขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าไฟฟ้าโรงงานลงได้แบบเห็นผล
การเลือกหลอดไฟสำหรับคลังสินค้า หรือ ไฟโรงงาน ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะหลอดไฟแต่ละประเภทต่างมีข้อดีข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของสินค้าในคลัง ขนาดพื้นที่ใช้งาน หรือแม้แต่ความสูงของชั้นวาง การรู้จักเทคนิคการเลือกแสงสว่างที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานภายในคลังสินค้าของคุณได้อย่างมาก
ประเภทของหลอดไฟ ที่ใช้ใน โรงงาน คลังสินค้า
การเลือกประเภทหลอดไฟและค่าความสว่างที่ได้มาตรฐาน ไม่เพียงช่วยให้พื้นที่ในคลังสินค้าและโรงงานมีแสงสว่างเพียงพอ แต่ยังช่วยประหยัดพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า รวมถึงลดภาระการบำรุงรักษาในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปแล้ว หลอดไฟที่นิยมใช้ในพื้นที่เหล่านี้มี 2 ประเภทหลัก คือ
-
หลอดคายประจุความเข้มสูง (HID) ซึ่งมีหลายรุ่นและหลายอุณหภูมิสี โดยค่าความต่างของแสง (Color Temperature) จะวัดในหน่วย “เคลวิน (K)”
-
หลอด LED ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานยาวนาน และให้แสงสว่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ยังมีหลอดไฟประเภทอื่น ๆ ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับการใช้งานในคลังสินค้าและโรงงานอีกด้วย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการด้านความสว่าง ความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด
1) หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent lamps)
ค่าอุณหภูมิของแสง อยู่ที่ประมาณ 3000K , 4000K และ 6500K มีทั้งแบบ สีเหลืองอมส้ม (WARMWHITE) ,ขาวเย็น (COOLWHITE) ,สีธรรมชาติ (DAYLIGHT)
หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มองหาแสงสว่างที่ประหยัดพลังงานและกระจายแสงได้อย่างทั่วถึง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น คลังสินค้า โรงงานที่มีเพดานสูง ลานจอดรถในอาคาร หรือโถงทางเดินต่าง ๆ แม้จะมีข้อดีด้านประสิทธิภาพและต้นทุน แต่หลอดไฟชนิดนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น การใช้เวลาสักครู่ในการเปิดให้สว่างเต็มที่ และอายุการใช้งานที่สั้นกว่าหลอดไฟบางประเภทในตลาดปัจจุบัน
2) หลอดเมทัลฮาไลด์ (Metal Halide lamps)
ค่าอุณหภูมิของแสง อยู่ที่ประมาณ 4000K ถึง 4500K ซึ่ง มีสี ขาวเย็น (COOLWHITE)
หลอดเมทัลฮาไลด์ ถือเป็นทางเลือกที่โดดเด่นในการให้แสงสว่าง ด้วยความสว่างที่มากกว่าและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีเพดานสูง เช่น คลังสินค้า แม้จะมีข้อดีหลายประการ แต่หลอดประเภทนี้ก็ใช้พลังงานมากกว่า และอาจสร้างแสงจ้าที่รบกวนสายตาได้ในบางสถานการณ์
3) หลอดโซเดียมแรงดันสูง (High-pressure sodium lamps)
ค่าอุณหภูมิของแสง อยู่ที่ประมาณ 2000K สีของแสงจะเป็น สีเหลืองอมส้ม (WARMWHITE)
หลอดโซเดียมแรงดันสูงเป็นแหล่งกำเนิดแสงสีเหลืองที่ให้ความสว่างสูงและมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น คลังสินค้าสูง พื้นที่อุตสาหกรรม ถนน และบริเวณกลางแจ้ง อย่างไรก็ตาม แม้จะให้แสงสว่างได้ดี แต่หลอดชนิดนี้มีค่าการแสดงสี (CRI) ต่ำ ทำให้การแยกแยะสีของวัตถุอาจไม่ชัดเจนนัก
- หลอดฟลูออเรสเซนต์มีข้อจำกัดในด้านการทำงานเมื่อเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น บริเวณที่อุณหภูมิหนาวจัดหรือร้อนจัด ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้งานและอายุของหลอดโดยตรง นอกจากนี้ การเปิด–ปิดบ่อยครั้งยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งการเสื่อมสภาพของหลอดชนิดนี้
- หลอด LED ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานสูง ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลอด LED ได้รับความนิยมในการติดตั้งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จุดเด่นของหลอดชนิดนี้คืออายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 100,000 ชั่วโมง และความสามารถในการทำงานได้ดีในสภาพอากาศเย็น อย่างไรก็ตาม หากอุณหภูมิแวดล้อมสูงเกิน 26.7 องศาเซลเซียส (หรือ 80 องศาฟาเรนไฮต์) อาจส่งผลให้ความสว่างและอายุการใช้งานลดลง แม้กระนั้น หลอด LED ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดแสงที่คุ้มค่าที่สุด ทั้งในด้านการประหยัดพลังงาน ความทนทาน และคุณภาพแสงที่สว่างคมชัด พร้อมทั้งรองรับการหรี่แสงเพื่อยืดอายุการใช้งานและประหยัดค่าไฟ เหมาะสำหรับการใช้งานในคลังสินค้าทุกขนาด
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกหลอดไฟสำหรับคลังสินค้า
การเลือกหลอดไฟที่เหมาะสมสำหรับคลังสินค้าไม่เพียงแค่คำนึงถึงความสว่างเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
-
ประเภทของสินค้าที่จัดเก็บ สินค้าบางประเภทอาจไวต่อแสง โดยเฉพาะแสง UV เช่น ยา อาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่ไวต่อความร้อน ซึ่งจำเป็นต้องเลือกหลอดไฟที่ปล่อยแสง UV ต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงต่อคุณภาพของสินค้า
-
ขนาดของคลังสินค้า ขนาดพื้นที่โดยรวมมีผลต่อจำนวนและประเภทของหลอดไฟที่ต้องใช้ พื้นที่ขนาดใหญ่ต้องการระบบแสงสว่างที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้แน่ใจว่าแสงกระจายทั่วถึงทุกจุด
-
ความสูงของชั้นวางสินค้า ความสูงของชั้นวางส่งผลต่อมุมตกกระทบของแสง รวมถึงระดับความสว่างที่จำเป็น หลอดไฟที่เลือกควรสามารถให้แสงได้อย่างทั่วถึงแม้ในพื้นที่ที่มีชั้นวางสูง
-
งบประมาณ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบำรุงรักษาเป็นสิ่งที่ต้องวางแผนให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มี โดยควรเลือกหลอดไฟที่ให้ความคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในด้านคุณภาพและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
-
ความต้องการด้านพลังงาน หลอดไฟที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูงจะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ จึงควรเลือกเทคโนโลยีที่เน้นการประหยัดพลังงาน เช่น LED ซึ่งตอบโจทย์ทั้งในด้านค่าไฟและอายุการใช้งาน
การเลือกอุณหภูมิและสีของแสง
แสงวอร์มไวท์ (Warm White) ซึ่งให้สีโทนอุ่น มีอุณหภูมิสีอยู่ระหว่าง 2,000 – 3,000 เคลวิน โดยแสงสีนี้จะมีลักษณะเป็นสีเหลืองเข้มถึงสีส้ม
ขอขอบคุณ รูปภาพประกอบจาก : ไทวัสดุ
เพื่อเสริมสร้างการมองเห็นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แนะนำให้ใช้แสงที่มีอุณหภูมิสีระหว่าง 4000K ถึง 5000K ซึ่งอยู่ในช่วงของแสงสีขาวนวล เช่น สีขาวเย็น (Cool White) และแสงธรรมชาติ (Daylight) แสงในช่วงนี้ไม่เพียงช่วยลดอาการล้าทางสายตา แต่ยังสร้างบรรยากาศการทำงานที่สบายและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับคลังสินค้า
การเลือกประเภทการกระจายแสง
การกระจายแสง มี2 แบบ คือแบบ I หรือ V การใช้งานขึ้นอยู่กับเลย์เอาต์ของโรงงาน
- สำหรับพื้นที่ที่มีชั้นวางของสูง ควรเลือกใช้การกระจายแสงแบบ I ซึ่งมีลักษณะเป็นลำแสงแคบแต่ทอดยาว โดยแสงจะพุ่งออกในแนวที่ตั้งฉากกับตัวโคมไฟ ช่วยให้แสงสว่างเข้าถึงพื้นที่แคบระหว่างชั้นวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ในพื้นที่เปิดโล่ง ควรใช้การกระจายแสงแบบ V ซึ่งให้แสงกว้างรอบทิศทาง ลักษณะการเปล่งแสงแบบนี้เหมาะสำหรับการให้ความสว่างครอบคลุมทั่วพื้นที่ในมุม 360 องศา ทำให้พื้นที่ดูโปร่งและสว่างอย่างทั่วถึง
การวางตำแหน่งและกระจายหลอดไฟ
การจัดวางตำแหน่งและกระจายแสงจากหลอดไฟอย่างเป็นระบบเป็นสิ่งสำคัญ ไฟโรงงาน มีบทบาทสำคัญในการสร้างแสงสว่างที่ทั่วถึง ลดปัญหาแสงสะท้อนและเงามืดที่อาจรบกวนสายตาหรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุ การออกแบบแสงที่ดีควรคำนึงถึงระยะห่างระหว่างโคมไฟ ความสูงในการติดตั้ง และประเภทของโคมไฟที่เหมาะสมกับลักษณะของงานและพื้นที่ใช้งาน ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดพลังงานแล้ว ยังส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและยกระดับความปลอดภัยของพนักงานอีกด้วย
1. ระยะห่างของโคมไฟ
- การจัดวางระยะห่างของโคมไฟควรพิจารณาอย่างพิถีพิถัน เพราะหากติดตั้งโคมไฟไว้ใกล้กันเกินไป แสงจากแต่ละดวงอาจทับซ้อนกันจนเกิดความสว่างจ้าจนเกินพอดีในบางจุด ซึ่งอาจรบกวนสายตาและบั่นทอนความสบายในการใช้งานพื้นที่นั้น ๆ
- ในทางกลับกัน หากเว้นระยะห่างระหว่างโคมไฟมากเกินไป แสงสว่างที่ปล่อยออกมาจะไม่ต่อเนื่องกัน ทำให้บางบริเวณเกิดความมืดหรือแสงไม่เพียงพอ ส่งผลให้บรรยากาศโดยรวมดูไม่สม่ำเสมอและขาดความสมดุล
2. การกระจายแสง
- เลือกใช้หลอดไฟที่สามารถกระจายแสงได้กว้าง เพื่อให้แสงสว่างครอบคลุมพื้นที่โดยรอบได้อย่างทั่วถึง ช่วยลดจุดอับแสงและเงามืดที่รบกวนสายตา
- การเลือกใช้โคมไฟที่ออกแบบมาให้สะท้อนแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้แสงกระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งพื้นที่ และลดแสงสะท้อนที่อาจรบกวนการมองเห็น
3. ความสูงของการติดตั้ง
- เลือกหลอดไฟที่สามารถกระจายแสงได้อย่างกว้างขวาง เพื่อให้แสงสว่างครอบคลุมพื้นที่โดยรอบอย่างทั่วถึง ช่วยลดจุดอับแสงและเงามืดในบริเวณต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การติดตั้งโคมไฟที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนแสงได้ดี จะช่วยให้แสงกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วพื้นที่ และยังลดปัญหาแสงสะท้อนรบกวนสายตา เพิ่มความสบายในการใช้งานในระยะยาว
4. การใช้โคมไฟประเภทต่างๆ
- เลือกใช้โคมไฟหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟเพดาน โคมไฟตั้งพื้น หรือโคมไฟแขวน ให้เหมาะสมกับลักษณะของพื้นที่และการใช้งาน เพื่อกระจายแสงสว่างได้อย่างทั่วถึงทุกมุมในคลังสินค้าและโรงงาน
5. การควบคุมแสง
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วยระบบควบคุมแสงอัตโนมัติ ที่ปรับความสว่างได้อย่างชาญฉลาดผ่านเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวหรือระดับแสง เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละสถานการณ์ พร้อมช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่ลดทอนความสะดวกสบาย
โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้
ยูนิตว่าง พร้อมให้เช่า คลิ๊กดูโครงการได้ที่นี่
ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทองหรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse
Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219 Telephone : 0-2394-5409
LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq
บทความแนะนำ
ที่ดิน ภ.บ.ท.5 คืออะไร? รู้ก่อนซื้อขาย ป้องกันปัญหาที่ดินในอนาคต
อ่านเนื้อหาเม.ย.
นิติบุคคล มีกี่ประเภท ไขข้อสงสัยเจ้าของธุรกิจมือใหม่ก็เข้าใจได้
อ่านเนื้อหาเม.ย.
เทคนิคเลือก ไฟโรงงาน อย่างไรให้สว่างมาตรฐานพอดี ถูกหลักสากล
อ่านเนื้อหาเม.ย.
Freight Forwarder กับ Shipping แตกต่างกันอย่างไร ทำไมจึงสำคัญต่อการขนส่ง
อ่านเนื้อหาเม.ย.
ค่าโอนที่ดิน 2567 อัปเดตล่าสุด เอกสารที่ต้องใช้และขั้นตอนสำคัญที่ห้ามพลาด
อ่านเนื้อหาเม.ย.
การบริหารคลังสินค้า อย่างไรให้ธุรกิจเติบโต เคล็ดลับที่คุณควรรู้
อ่านเนื้อหามี.ค.