มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน อุตสาหกรรมถือเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากมีบทบาทในการลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและอันตรายในการทำงาน มาตรฐานเหล่านี้ถูกกำหนดโดยหน่วยงานของรัฐ องค์กรอิสระ และสถาบันต่างๆ ซึ่งอาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปตามประเภทอุตสาหกรรมและข้อบังคับของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม หลายมาตรฐานได้รับการยอมรับและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางการปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงงาน ซึ่งเป็นวิธีที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ง่าย มาอ่านข้อมูลจากบทความนี้ไปพร้อมๆกัน
4 ด้าน มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้
ความปลอดภัยในโรงงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลต่อทั้งพนักงาน การผลิต และภาพลักษณ์ของธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 4 ด้านสำคัญของมาตรฐานความปลอดภัยที่ควรรู้ เพื่อให้โรงงานดำเนินงานได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย
1. มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน ด้านความร้อน
สภาพความร้อนและอุณหภูมิภายในโรงงาน มาตรฐานความร้อน คือข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อพนักงานและสถานที่ทำงาน มาตรฐานนี้ครอบคลุมข้อกำหนดเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานใกล้แหล่งความร้อน เช่น เตาหลอม เตาอบ หรือบริเวณที่มีความเสี่ยงจากกระแสไฟฟ้า รวมถึงมาตรการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัย พนักงานควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมขณะปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง
ใส่ถุงมือป้องกันความร้อนทนอุณหภูมิสูง (Hand Protection Equipment) : ปกป้องมือจากความร้อน พนักงานโรงงานควรสวมถุงมือกันความร้อนเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บขณะสัมผัสวัสดุอุณหภูมิสูง
ใส่รองเท้าป้องกันความร้อน (Safety Shoes) : รองเท้าป้องกันความร้อนเป็นอุปกรณ์สำคัญในอุตสาหกรรม ช่วยลดความเสี่ยงจากอุณหภูมิสูงและสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย โดยออกแบบให้เหมาะกับลักษณะงานและระดับความร้อนที่ต้องเผชิญ การเลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
ใส่ชุดป้องกันความร้อน (Body Protection Equipment) : การสวมชุดป้องกันความร้อนเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง เช่น งานอุตสาหกรรมและก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ชุดป้องกันมักประกอบด้วยเสื้อคลุม กางเกง ถุงเท้า และหมวก เพื่อป้องกันร่างกายจากความร้อนและวัตถุอุณหภูมิสูง ก่อนใช้งาน ควรตรวจสอบความสมบูรณ์ของชุด หากพบรอยชำรุดหรือเสียหาย ควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อความปลอดภัย
** หากต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูง เช่น อุตสาหกรรมเตาหลอมโลหะ งานเชื่อม หรือเหมืองแร่ ควรสวม ชุดหมีอลูมิไนซ์ (Aluminized Suit) ซึ่งผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมเคลือบชั้นผิวแข็ง เช่น แอลูมิเนียมโฟยสิลิเรต ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนและทนอุณหภูมิได้สูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส เพื่อปกป้องร่างกายจากความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ **
2. มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน ด้านแสงสว่าง
ค่าความเข้มข้นของแสงวัดเป็นหน่วย Lux (ลักซ์) โดย 1 ลักซ์เท่ากับแสง 1 ลูเมนต์ (lumen) ที่ตกกระทบบนพื้นที่ 1 ตารางเมตร (m²) และสามารถคำนวณได้จากสูตร
สูตรการคำนวณความเข้มข้นของแสง
ความเข้มข้นของแสง (Lux) = จำนวนลูเมนต์ (Lumen) / พื้นที่ (ตารางเมตร)
ยกตัวอย่างเช่น
- หากคุณมีหลอดไฟหนึ่งที่ส่องแสงออกมาและมีค่า Lumen เท่ากับ 800 ลูเมนต์ และมันส่องแสงบนพื้นที่ขนาด 4 ตารางเมตร ความเข้มข้นของแสงในบริเวณนั้นจะเท่ากับ : ความเข้มข้นของแสง (Lux) = 800 Lumen / 4 ตารางเมตร = 200 Lux
- หากคุณมีหลอดไฟหนึ่งที่ส่องแสงออกมาและมีค่า Lumen เท่ากับ 1000 ลูเมนต์ และมันส่องแสงบนพื้นที่ขนาด 2 ตารางเมตร ความเข้มข้นของแสงในบริเวณนั้นจะเท่ากับ : ความเข้มข้นของแสง (Lux) = 1000 Lumen / 2 ตารางเมตร = 500 Lux
ความเข้มข้นของแสงในโรงงานขึ้นอยู่กับประเภทงานและทำเลที่ตั้งของโรงงาน โดยสามารถใช้ค่าเฉลี่ยที่ช่วยในการประเมินแสงธรรมชาติในสถานที่ทำงาน ซึ่งมีผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงานดังนี้
- ความเข้มข้นแสงตามมาตรฐานภายนอกโรงงาน : แสงในพื้นที่ภายนอกถนนหน้าโรงงานอุตสาหกรรมอาจต้องมีความเข้มข้นมากกว่า 20 Lux
- ความเข้มข้นแสงตามมาตรฐานภายในโรงงาน : ความเข้มข้นแสงภายในพื้นที่ทำงาน เช่น โกดัง คลังสินค้า หรือบันไดขึ้นลง ควรมีแสงสว่างไม่น้อยกว่า 50 Lux เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนย้าย บรรจุ หรือจัดเก็บสินค้า รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงและความลำบากในการทำงาน
- ความเข้มข้นแสงตามมาตรฐานการผลิต (ความละเอียดเล็กน้อย) :แสงต้องมีความเข้มข้นมากกว่า 100 Lux เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดสูง เช่น การประกอบชิ้นส่วนหรือการสีข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความเข้มข้นแสงตามมาตรฐานการผลิต (ความละเอียดปานกลาง) : ความเข้มข้นของแสงอาจจำเป็นต้องสูงกว่า 200 Lux เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดระดับปานกลาง เช่น การเย็บปักถักร้อย เย็บเสื้อผ้า หรือเย็บกระเป๋าสตางค์หนัง ได้อย่างแม่นยำ
- ความเข้มข้นแสงตามมาตรฐานการผลิต (ความละเอียดสูง) :แสงที่มีความเข้มข้นมากกว่า 300 Lux อาจจำเป็น เนื่องจากพนักงานต้องใช้แสงในการทำงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น การทดสอบและตรวจสอบผลิตภัณฑ์ การซ่อมแซมเครื่องจักร หรือการกลึงแต่งโลหะ
- ความเข้มข้นแสงตามมาตรฐานการผลิต (ความละเอียดสูงพิเศษ) : แสงที่มีความเข้มข้นสูงกว่า 1,000 Lux เป็นสิ่งจำเป็นในพื้นที่ที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การเจียระไนเพชรและการผลิตชิปเซ็ต เนื่องจากการมองเห็นรายละเอียดชิ้นงานได้อย่างชัดเจนช่วยป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจกระทบต่อคุณภาพผลงานและความปลอดภัยของคนงาน
แสงสว่างมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน, สุขภาพ, และความปลอดภัยในที่ทำงาน การใช้แสงที่เหมาะสมช่วยลดความเมื่อยล้าและเครียดของพนักงานได้ดี ในสถานที่ที่มีความเข้มข้นของแสงสูง ควรใช้เครื่องมือป้องกันเพื่อรักษาความปลอดภัยและปกป้องสายตาอย่างเหมาะสม
แว่นตานิรภัย (Protective spectacles or glasses) : คืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องดวงตาจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในที่ทำงาน เช่น การโดนวัตถุเคลื่อนที่หรือสารเคมีสะเก็ดกระเด็นเข้าตา ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองสายตาของผู้ทำงาน แว่นตานิรภัยคุณภาพดีมักทำจากวัสดุทนทาน เช่น พลาสติกแข็งหรือโพลีคาร์บอเนตที่สามารถป้องกันการกระแทกหรือแตกหักได้ดี เลนส์ของแว่นตานิรภัยมักมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ป้องกันแสง UV หรือเคลือบป้องกันแสงสะท้อน ซึ่งมีหลายประเภทตามลักษณะงาน เช่น เลนส์สีเทาสำหรับภายนอกอาคาร เลนส์ใสที่เคลือบแสงสะท้อนสำหรับทั้งภายในและภายนอกอาคาร หรือเลนส์สีทอง สีน้ำเงิน และสีเงินสำหรับงานภายนอก การเลือกแว่นตานิรภัยที่เหมาะสมช่วยป้องกันอันตรายและส่งเสริมสุขภาพตาของผู้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน ด้านเสียง
มาตรฐานเสียงในโรงงานอุตสาหกรรมถูกแบ่งเป็นระดับต่างๆ โดยปกติไม่เกิน 140 เดซิเบล เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับแก้วหูของคนงานจากเสียงดังเกินไป ระดับเสียงขึ้นอยู่กับประเภทงานและสถานที่ทำงาน การจัดระดับเสียงตามชั่วโมงการทำงานเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันการสูญเสียการได้ยินและเพิ่มความปลอดภัยของคนงานในระยะยาว โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลักดังนี้
- ระดับเสียงนานเท่ากับหรือต่ำกว่า 91 เดซิเบล (dB) ในช่วงทำงาน 7 ชั่วโมงต่อวัน : ระดับเสียงที่อาจส่งผลต่อการสูญเสียการได้ยินต้องใช้มาตรการป้องกันตลอดเวลาขณะทำงาน เช่น การใช้อุปกรณ์หูฟังป้องกันเสียง เพื่อช่วยลดเสียงและป้องกันความเสียหาย
- ระดับเสียงนานเท่ากับหรือต่ำกว่า 90 เดซิเบล (dB) ในช่วงทำงาน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน : ระดับเสียงนี้เสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงมาตรการป้องกัน เช่น การใช้หูฟังป้องกันเสียงดังพิเศษ และการลดเสียงจากแหล่งกำเนิดเพื่อควบคุมระดับเสียงให้ต่ำลง
- ระดับเสียงนานเท่ากับหรือต่ำกว่า 80 เดซิเบล (dB) ในช่วงทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน :เสียงในระดับนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถยอมรับได้ในการทำงานและไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินในระยะยาว แต่การควบคุมและป้องกันเสียงยังคงมีความสำคัญ เพื่อรักษาสุขภาพหูและลดความเสี่ยงในระยะยาว เพราะการรับเสียงของแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ควรใช้หูฟังกันเสียงเพื่อลดผลกระทบจากเสียงในระหว่างการทำงานให้ดีที่สุด
พนักงานบางคนอาจต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม, โรงงานผลิต หรือไซต์ก่อสร้าง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียการได้ยิน การใช้เครื่องมือป้องกันเสียงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของคนงาน โดยอุปกรณ์ป้องกันเสียงมี 2 ชนิดหลัก ดังนี้
ที่ครอบหู (Ear muff) :ที่ครอบหูช่วยลดเสียงดังจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน เช่น โรงงาน, งานก่อสร้าง หรือการใช้งานเครื่องจักรเสียงดัง โดยสามารถลดระดับเสียงได้ถึง 40 เดซิเบล (dB) การออกแบบภายในมีฟองอากาศช่วยลดแรงสั่นสะเทือนและเพิ่มความสบายในการสวมใส่ เพื่อป้องกันการสูญเสียการได้ยินและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานในสถานที่เสียงดัง
ที่อุดหู (Ear plug) : ที่อุดหูเป็นอุปกรณ์ป้องกันการสูญเสียการได้ยินจากเสียงดังในที่ทำงาน โดยสวมใส่เข้าไปในช่องหูทั้งสองข้าง ช่วยลดระดับเสียงได้ถึง 20 เดซิเบล (dB) การใช้งานคล้ายกับที่ครอบหู (Ear muff) แต่มีลักษณะการสวมใส่โดยตรงในรูหู วัสดุที่ใช้ทำมักเป็นยางซิลิโคนหรือเอวส์โพรเปน และมีรูเพื่อให้เสียงสัญญาณต่างๆ เช่น เสียงสั่งงานหรือสัญญาณเตือนผ่านได้ อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม, งานก่อสร้าง เพื่อลดความเสี่ยงจากการสูญเสียการได้ยินและรักษาความปลอดภัยของคนงาน
4. มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน ด้านสารเคมีและอนุภาคที่มีความเสี่ยง
มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีและอนุภาคอันตราย คือกฎหมายหรือระเบียบที่ควบคุมการใช้งานและจัดการสารเคมี รวมถึงอนุภาคเสี่ยงในที่ทำงาน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ โดยกำหนดค่าความเข้มข้นของสารเคมี ฝุ่น และแร่ในอากาศ ตามปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม, ระยะเวลาการทำงาน, และพื้นที่ปฏิบัติงาน ค่าความเข้มข้นเหล่านี้ต้องไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด และผู้ประกอบการต้องจัดหาอุปกรณ์ป้องกันเพื่อการทำงานในพื้นที่ที่มีสารเคมีและอนุภาคอันตรายขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอน เพื่อรักษาความปลอดภัยสุขภาพพนักงาน
ใส่ชุดป้องกันกรดสารเคมี (Chemical Protective Suit) : ชุดป้องกันสารเคมีมักถูกใช้ในสถานที่ทำงานที่มีการประกอบการที่ใช้สารเคมีอันตราย เช่น ในอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมน้ำมัน หรือการจัดการกับสารเคมีในสถานที่ทำงานอื่นๆ เพื่อป้องกันการสัมผัสและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากสารเคมีและอนุภาคที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เป็นชุดที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายจากการโดนสารเคมีสัมผัสผิวหนังหรือระบบการหายใจ ชุดป้องกันสารเคมีมักมีส่วนประกอบหลายชิ้นที่รวมกันเพื่อป้องกันโดยครอบคลุมทั้งร่างกาย
หน้ากากป้องกันสารเคมี (Chemical Respirator) : ออกแบบมาเพื่อปกป้องระบบทางเดินหายใจจากสารเคมีอันตรายที่อาจสูดดมเข้าไป ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น กลิ่นรบกวน ไอระเบิด หรือฝุ่นละออง หน้ากากช่วยกรองสารและอนุภาคต่างๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เพื่อป้องกันการสูดดมสารเคมีอันตราย ควรใส่หน้ากากให้พอดีและมิดชิด โดยมีให้เลือกทั้งแบบครอบเต็มหน้า ครึ่งหน้า และแบบที่มีไส้กรองเดี่ยวหรือคู่ บางรุ่นสามารถเปลี่ยนไส้กรองได้ หรือมีวาล์วระบายอากาศ ควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะงานและสภาพแวดล้อม พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้และดูแลรักษา เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันสารเคมีอันตรายในสถานที่ทำงาน
สรุป มาตรฐานความปลอดภัยในโรงงาน สิ่งที่ประกอบการต้องรู้ จะต้องปฏิบัติตามหลัก 4 ด้าน เป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานและสิ่งแวดล้อมต่างๆได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลักการที่กล่าวมาทั้งหมดมีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมที่มีความปลอดภัยและทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ในการทำงาน และยังช่วยส่งผลดีให้กับองค์กรในด้านเรื่องผลผลิต เพราะจะช่วยลดระยะเวลาหยุดเครื่องจักรในการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัย ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้นและรายได้ไม่หยุดชะงัก สิ่งสำคัญที่องค์กรควรจะคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานทุกคน คือ จัดการฝึกซ้อม การฝึกอบรม และการซื้ออุปกรณ์ป้องกันให้กับพนักงาน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายได้ อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวและธุรกิจมีการเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น
โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้
ยูนิตว่าง พร้อมให้เช่า คลิ๊กดูโครงการได้ที่นี่
ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทองหรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse
Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219 Telephone : 0-2394-5409
LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq
บทความแนะนำ
ที่ดิน ภ.บ.ท.5 คืออะไร? รู้ก่อนซื้อขาย ป้องกันปัญหาที่ดินในอนาคต
อ่านเนื้อหาเม.ย.
นิติบุคคล มีกี่ประเภท ไขข้อสงสัยเจ้าของธุรกิจมือใหม่ก็เข้าใจได้
อ่านเนื้อหาเม.ย.
เทคนิคเลือก ไฟโรงงาน อย่างไรให้สว่างมาตรฐานพอดี ถูกหลักสากล
อ่านเนื้อหาเม.ย.
Freight Forwarder กับ Shipping แตกต่างกันอย่างไร ทำไมจึงสำคัญต่อการขนส่ง
อ่านเนื้อหาเม.ย.
ค่าโอนที่ดิน 2567 อัปเดตล่าสุด เอกสารที่ต้องใช้และขั้นตอนสำคัญที่ห้ามพลาด
อ่านเนื้อหาเม.ย.
การบริหารคลังสินค้า อย่างไรให้ธุรกิจเติบโต เคล็ดลับที่คุณควรรู้
อ่านเนื้อหามี.ค.