นิติบุคคล มีกี่ประเภท ไขข้อสงสัยเจ้าของธุรกิจมือใหม่ก็เข้าใจได้

นิติบุคคล มีกี่ประเภท

นิติบุคคล หมายถึง กลุ่มคนหรือองค์กรที่ได้รับการรับรองจากกฎหมายให้มีสถานะเสมือนเป็นบุคคลธรรมดา โดยมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น การทำสัญญาทางกฎหมาย การถือครองทรัพย์สิน การชำระภาษี รวมถึงการเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ได้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางการค้าสามารถเป็นไปอย่างสะดวกและเป็นระบบ กฎหมายจึงกำหนดให้มีนิติบุคคลขึ้นมาทำหน้าที่นี้

นิติบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

ประเภทของนิติบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก โดยแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันในด้านการจัดตั้งองค์กร การดำเนินงาน และระบบการบริหารจัดการ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และข้อบังคับตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลในแต่ละประเภท ซึ่งความแตกต่างนี้ส่งผลต่อสถานะทางกฎหมายและความรับผิดชอบของนิติบุคคลอย่างชัดเจน

นิติบุคคล มี 2 ประเภท แล้วแตกต่างกันยังไง

ประเภทที่ 1 นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

นิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน เป็นสถานะทางกฎหมายที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้กลุ่มบุคคลหรือองค์กรมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา ซึ่งสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยนิติบุคคลในหมวดนี้แบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ดังนี้

ประเภทที่ 1 นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

1) บริษัทจำกัด (Limited Company)

บริษัทจำกัด เป็นประเภทของนิติบุคคล ที่จัดตั้งขึ้นโดยมีการแบ่งทุนออกเป็นหุ้น ซึ่งมีมูลค่าเท่ากันทุกหุ้น โดยผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดจะมีความรับผิดชอบต่อหนี้สินและภาระผูกพันของบริษัท เฉพาะในส่วนของจำนวนเงินค่าหุ้นที่ตนได้ตกลงซื้อไว้ แต่ยังชำระไม่ครบเท่านั้น กล่าวคือ ความรับผิดจะจำกัดอยู่ภายในวงเงินค่าหุ้นที่เหลืออยู่ตามที่ระบุไว้ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของ นิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ที่ช่วยลดความเสี่ยงของผู้ลงทุน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการ มีการจดทะเบียนนิติบุคคล และมีโครงสร้างบริหารจัดการชัดเจน รวมถึงสามารถเพิ่มทุนหรือขยายกิจการในอนาคตได้ง่ายผ่านการออกหุ้นเพิ่มทุน

2) ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership)

ห้างหุ้นส่วนสามัญ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของนิติบุคคล ที่เกิดจากการรวมตัวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อร่วมกันดำเนินธุรกิจ โดยผู้ที่เป็นหุ้นส่วนใน นิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญ นี้ จะมีสิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการร่วมกันทุกคน และต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินและข้อผูกพันต่าง ๆ ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งหมายความว่าหากห้างหุ้นส่วนมีหนี้สิน หุ้นส่วนแต่ละคนต้องรับผิดชอบทั้งหมดร่วมกัน เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เนื่องจากมีการบริหารงานร่วมกันและมีความรับผิดชอบในฐานะเจ้าของร่วมทุกคน

3) ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership)

ห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นรูปแบบหนึ่งของนิติบุคคล ที่ประกอบด้วยหุ้นส่วน 2 ประเภท ได้แก่ หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด (General Partner) ซึ่งมีสิทธิ์ในการบริหารกิจการและต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินของนิติบุคคล แห่งนี้อย่างไม่จำกัด และ หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด (Limited Partner) ซึ่งไม่มีส่วนร่วมในการบริหาร และมีความรับผิดชอบต่อหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจำกัด เฉพาะในส่วนของจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไว้เท่านั้น การจัดตั้ง นิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการร่วมลงทุนแต่ไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงสูง โดยเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเลือกบทบาทและขอบเขตความรับผิดชอบได้ตามต้องการทำให้นิติบุคคลประเภทนี้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน

4) สมาคม (Association)

สมาคม คือรูปแบบของนิติบุคคล ที่เกิดจากการรวมตัวของบุคคลหลายคนเพื่อดำเนินกิจกรรมร่วมกันตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของ นิติบุคคลประเภทสมาคม นี้ จะไม่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลกำไร เช่น การจัดตั้งสมาคมวิชาชีพ สมาคมเพื่อการกุศล สมาคมกีฬา หรือสมาคมส่งเสริมกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ จะมีสถานะทางกฎหมายอย่างชัดเจน ทำให้สามารถทำสัญญา ถือครองทรัพย์สิน และดำเนินการต่าง ๆ ได้ตามกฎหมายในนามของสมาคมเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นรายตัว ซึ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและความเป็นทางการให้กับกิจกรรมหรือโครงการต่าง ๆ ที่สมาคมจัดขึ้น

5) มูลนิธิ (Foundation)

มูลนิธิ เป็นอีกหนึ่งประเภทของนิติบุคคล ที่จัดตั้งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายในการดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม โดยไม่แสวงหากำไร วัตถุประสงค์ของ นิติบุคคลประเภทมูลนิธิ มักเกี่ยวข้องกับการกุศล การส่งเสริมศาสนา วิทยาศาสตร์ การศึกษา วัฒนธรรม ศิลปกรรม หรือกิจกรรมสาธารณกุศลอื่น ๆ การจัดตั้งจะมีทรัพย์สินตั้งต้น ซึ่งผู้ก่อตั้งได้มอบไว้ให้เป็นทุนเพื่อใช้ในการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ทรัพย์สินของมูลนิธิถือเป็นกรรมสิทธิ์ของนิติบุคคลในนามมูลนิธิ ซึ่งสามารถนำไปใช้บริหารจัดการกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการขยายความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น

ประเภทที่ 2 นิติบุคคลตามกฎหมายอื่น

นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน หมายถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยอาศัยกฎหมายเฉพาะทาง ซึ่งกำหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตการดำเนินงานไว้อย่างชัดเจน เพื่อทำหน้าที่และปฏิบัติบทบาทตามที่กฎหมายบัญญัติให้แต่ละองค์กรรับผิดชอบ ซึ่งนิติบุคคลประเภทนี้มีความแตกต่างกันไปตามภารกิจและบทบาท เช่น การบริหารราชการแผ่นดิน การให้บริการสาธารณะ หรือการควบคุมดูแลกิจกรรมเฉพาะด้านในนามของรัฐ โดยทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งในระบบการจัดระเบียบของรัฐภายใต้หลักกฎหมายมหาชน

ประเภทที่ 2 นิติบุคคลตามกฎหมายอื่น

1) นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติ (Public Juristic Persons)

นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติ หมายถึง นิติบุคคล ที่จัดตั้งขึ้นโดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายเฉพาะ ซึ่งกำหนดรูปแบบ โครงสร้าง และกระบวนการดำเนินงานอย่างชัดเจนตามพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น บริษัทมหาชนจำกัด ที่จัดตั้งและดำเนินกิจการภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 และ สหกรณ์ ซึ่งต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติสหกรณ์ นิติบุคคลประเภทนี้มักมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากมีโครงสร้างและกระบวนการดำเนินงานที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลตามกฎหมายเฉพาะ ทำให้มีมาตรฐานในการบริหารจัดการ มีความน่าเชื่อถือ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน นักลงทุน และหน่วยงานต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

2) นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะกำหนด (Specific Legal Entities)

นิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะ คือองค์กรหรือหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่หรือให้บริการด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น องค์การมหาชน (Public Organization) ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะ เพื่อดำเนินกิจการหรือภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะในด้านต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น สำนักงานประกันสังคม ที่มีบทบาทในการดูแลและบริหารระบบประกันสังคมให้แก่ประชาชน

นิติบุคคลประเภทนี้จะมีสถานะทางกฎหมายชัดเจน มีอำนาจหน้าที่ กรอบการดำเนินงาน และโครงสร้างการบริหารตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่หรือบริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ช่วยเสริมความเป็นระเบียบในการบริหารจัดการบริการสาธารณะของรัฐ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในการรับบริการหรือสวัสดิการต่าง ๆ

3) หน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐ (Government and State Entities)

หน่วยงานราชการและองค์กรของรัฐ เป็นกลุ่มนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่บริหารงานภาครัฐ และให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน โดยมีบทบาทสำคัญในการกำกับ ดูแล และส่งเสริมความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งครอบคลุมหน่วยงานหลากหลายประเภท เช่น วัด จังหวัด กระทรวง ทบวง กรม ตลอดจนองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นกลุ่มนี้ จะมีสถานะทางกฎหมายชัดเจน มีอำนาจหน้าที่และขอบเขตการดำเนินงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน หรือกฎหมายเฉพาะแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจและให้บริการประชาชนได้อย่างถูกต้อง เป็นธรรม และโปร่งใส จึงถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของภาครัฐ ทั้งในด้านการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ ความมั่นคง และการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของประชาชน

4) องค์กรวิชาชีพและการศึกษา (Professional and Educational Institutions)

องค์กรวิชาชีพและการศึกษา เป็นอีกหนึ่งประเภทของนิติบุคคล ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ เพื่อดำเนินกิจกรรมด้านวิชาการ การฝึกอบรม การศึกษา และการวิจัยเชิงวิชาชีพ ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาระดับสูง ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อผลิตบัณฑิต วิจัยองค์ความรู้ และพัฒนาทักษะวิชาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม  จะมีสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจน กำหนดโครงสร้างการบริหารและบทบาทหน้าที่ตามพระราชบัญญัติหรือกฎหมายเฉพาะ เช่น พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ซึ่งช่วยให้สามารถดำเนินงานได้อย่างอิสระและมีมาตรฐานเป็นสากล การมีนิติบุคคลประเภทนี้ ช่วยส่งเสริมระบบการศึกษาและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีคุณภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการวิจัยและสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้ประเทศ

ลักษณะความต่างระหว่าง บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล

ในการดำเนินธุรกิจหรือทำธุรกรรมทางกฎหมาย เรามักได้ยินคำว่า “บุคคลธรรมดา” และ “นิติบุคคล” ซึ่งทั้งสองสถานะนี้มีความหมายและสิทธิหน้าที่ทางกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคลทั้งสองประเภทนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเลือกใช้หรือดำเนินการได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง บุคคลธรรมดา กับ นิติบุคคล ได้ดังนี้

เทียบความแตกต่าง บุคคลธรรมดา นิติบุคคล
สถานะทางกฎหมาย คือบุคคลที่มีชีวิตจริง ๆ และมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายโดยธรรมชาติ เป็นหน่วยงานหรือองค์กรที่ได้รับการยอมรับทางกฎหมายให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา แต่มีสถานะเป็นองค์กร เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน มูลนิธิ เป็นต้น
การจดทะเบียน ไม่จำเป็น (ยกเว้นกรณีประกอบธุรกิจบางประเภท) ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายเพื่อจัดตั้ง
ความรับผิดชอบ รับผิดชอบส่วนตัวไม่จำกัด รับผิดชอบจำกัดตามทุนจดทะเบียนหรือข้อกำหนด
อายุที่มีสิทธิกระทำการ บรรลุนิติภาวะ (20 ปีบริบูรณ์) มีสิทธิทันทีเมื่อจัดตั้งเสร็จสมบูรณ์
การเสียภาษี ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้อง ต้องเสียภาษีในฐานะองค์กรหรือบริษัทตามกฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้อง
การดำเนินการ ดำเนินการในนามตนเอง ดำเนินการในนามองค์กร
การดำรงอยู่ การดำรงอยู่ขึ้นอยู่กับชีวิตของบุคคลนั้น ๆ และจะสิ้นสุดเมื่อบุคคลเสียชีวิต มีการดำรงอยู่ต่อเนื่องแม้ผู้ก่อตั้งหรือสมาชิกจะเปลี่ยนแปลงหรือเสียชีวิตไป

กฎเกณฑ์และเงื่อนไขของบุคคลธรรมดา

  • จะต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และได้สมรสถูกต้องตามกฎหมาย จะถือว่าเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ
  • การที่บุคคลต้องไม่เป็น “บุคคลไร้ความสามารถ”
  • โดยบุคคลที่ถือว่าเป็นผู้เยาว์, ผู้ไร้ความสามารถ, และผู้เสมือนไร้ความสามารถ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม, ผู้อนุบาล, หรือผู้พิทักษ์ ตามลำดับตามกฏหมายก่อน ถึงจะทำนิติกรรมได้

ข้อดีของการเปลี่ยนธุรกิจจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล

หลายธุรกิจเริ่มต้นจากการเป็นบุคคลธรรมดา เพราะดำเนินการได้ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การเปลี่ยนสถานะเป็น “นิติบุคคล” มักเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะช่วยเสริมภาพลักษณ์ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และลดความเสี่ยงส่วนตัวในการดำเนินกิจการ การเข้าใจข้อดีของการเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรพิจารณา

ข้อดีของการเปลี่ยนธุรกิจจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล
หัวข้อ ข้อดีของการเปลี่ยนธุรกิจจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคล
เริ่มต้นด้วยบุคคลธรรมดา
  • คล่องตัว ตัดสินใจเองได้ด้วยตัวคนเดียว
  • จัดตั้งง่าย ไม่ต้องจัดทำบัญชี
เมื่อธุรกิจเติบโต
  • ต้องการเงินลงทุนและหุ้นส่วน
  • จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ข้อดีของนิติบุคคล
  • ไม่เสียภาษีหากขาดทุน
  • น่าเชื่อถือกว่าบุคคลธรรมดา
  • แยกเงินส่วนตัวกับเงินธุรกิจอย่างชัดเจน 
  • ปกป้องทรัพย์สินส่วนตัวหากธุรกิจล้มละลาย

สรุปขั้นตอนจดทะเบียนนิติบุคคล สำหรับมือใหม่

หลายธุรกิจเริ่มต้นจากการเป็นบุคคลธรรมดา เพราะดำเนินการได้ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การเปลี่ยนสถานะเป็น “นิติบุคคล” มักเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะช่วยเสริมภาพลักษณ์ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และลดความเสี่ยงส่วนตัวในการดำเนินกิจการ การเข้าใจข้อดีของการเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรพิจารณา

1. ตรวจสอบและจองชื่อบริษัท

เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบความพร้อมของชื่อบริษัทที่ต้องการใช้จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีชื่อซ้ำกับบริษัทอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว จากนั้นทำการจองชื่อกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นนำชื่อดังกล่าวไปใช้

2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ

ขั้นตอนนี้เป็นการจัดทำและยื่นเอกสารบริคณห์สนธิ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญในการจัดตั้งนิติบุคคล โดยจะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของบริษัท ที่ตั้งสำนักงาน จำนวนหุ้นทุนจดทะเบียน และโครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นแต่ละราย

3. จองซื้อหุ้นและประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรก

หลังจากร่างบริคณห์สนธิแล้ว ผู้ถือหุ้นต้องทำการจองซื้อหุ้นตามจำนวนทุนที่กำหนดไว้ และจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติบริคณห์สนธิ รวมถึงแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัท ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการจัดตั้งนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ

4. จัดประชุมคณะกรรมการบริษัท

เมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการแล้ว จะต้องมีการประชุมครั้งแรกเพื่อกำหนดอำนาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และวางแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต เพื่อให้การบริหารนิติบุคคลเป็นไปอย่างเป็นระบบและโปร่งใส

5. ชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนนิติบุคคล

ดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนนิติบุคคลกับหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบ โดยอัตราค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับทุนจดทะเบียนและประเภทของนิติบุคคลที่ต้องการจัดตั้ง

6. รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล

เมื่อดำเนินการครบทุกขั้นตอนและผ่านการอนุมัติจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว บริษัทจะได้รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล ซึ่งถือเป็นเอกสารรับรองสถานะความเป็นนิติบุคคลอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมายไทย


โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้

ยูนิตว่าง พร้อมให้เช่า คลิ๊กดูโครงการได้ที่นี่

ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทองหรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse

Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219  Telephone : 0-2394-5409

LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq

บทความแนะนำ