Reverse Logistics คือ กระบวนการนำสินค้าหรือวัสดุที่ถูกส่งถึงลูกค้ากลับคืนสู่ระบบซัพพลายเชนอีกครั้ง เช่น การคืนสินค้า ซ่อม รีไซเคิล หรือ นำกลับมาใช้ใหม่ จุดประสงค์หลักคือการ ลดของเสีย กู้คืนมูลค่า และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ในยุคอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจหมุนเวียน (reverse & circular economy) องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับระบบนี้มากขึ้น เพราะช่วย ลดต้นทุน รักษาสิ่งแวดล้อม และเสริมภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน เทคโนโลยีใหม่อย่าง AI (Artificial Intelligence) และ IoT ( Internet of Thing) เข้ามาช่วยให้ธุรกิจคาดการณ์การคืนสินค้าได้แม่นยำ จัดการคลังและเส้นทางย้อนกลับได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ โลจิสติกส์ย้อนกลับกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญของธุรกิจยุคใหม่ ที่ต้องการความยั่งยืนและความพึงพอใจจากลูกค้าในระยะยาว
1. ประเภทของ Reverse Logistics โลจิสติกส์ย้อนกลับ
2. โลจิสติกส์ย้อนกลับ กับ โลจิสติกส์ปกติ แตกต่างกันอย่างไร
3. กระบวนการโลจิสติกส์ย้อนกลับ
4. ผลประโยชน์ที่องค์กรได้รับจาก โลจิสติกส์ย้อนกลับ
5. ปัจจัยเสี่ยงในกระบวนการ โลจิสติกส์ย้อนกลับ
6. พื้นที่ คือหัวใจ BKK Warehouse ช่วยสนับสนุน Reverse Logistics ของคุณได้อย่างไร
7. กระบวนการที่ธุรกิจทำได้ เมื่อมี พื้นที่ ที่เหมาะสม
8. อย่าให้ ของคืน มาแย่ง พื้นที่ขาย ของคุณ
ประเภทของ Reverse Logistics โลจิสติกส์ย้อนกลับ
โลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้จำแนกโดยสรุปแล้วหลัก ๆ จะมี 8 ประเภทหลักๆ ที่ใช้กันทั่วไปในภาคธุรกิจ ดังนี้
1) การจัดการสินค้าคืน
ในกระบวนการของ Reverse Logistics หรือการจัดการสินค้าคืน โดยเฉพาะเมื่อ ลูกค้าส่งคืนสินค้าที่ได้รับชำรุด ไม่ตรงตามความคาดหวัง หรือไม่พอดี ในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ อัตราสินค้าที่คืนกลับมาอยู่ราว 15-25 % จากยอดขายออนไลน์ (ลดจากตัวเลขราว 30 % ที่อ้างไว้ก่อนหน้า) ตามช่วงปี 2024 – 2025 ทั้งนี้ การสร้างกระบวนการคืนสินค้าที่ง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรกับลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษาความภักดีของลูกค้าและเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้แข็งแรง
2) การผลิตซ้ำ / ปรับปรุงใหม่
คือหัวใจของ โลจิสติกส์ย้อนกลับ ที่รับสินค้าคืนมาตรวจสภาพ แยกชิ้นส่วน เปลี่ยนอุปกรณ์สึกหรอ ทดสอบให้ได้มาตรฐานเดิมหรือสูงกว่า แล้วส่งกลับสู่ตลาดในฐานะสินค้า “เทียบเท่าใหม่” พร้อมการรับประกัน ชิ้นส่วนที่ยังดีถูกเข้าคลังอะไหล่ ส่วนที่ใช้ไม่ได้เข้าสู่รีไซเคิลเพื่อลดของเสีย ประโยชน์หลักคือดึงคืนมูลค่าทรัพย์สิน ลดต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มความต้องการช่องทางลูกค้าที่สนใจสินค้าปรับปรุง และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน แนวปฏิบัติปัจจุบันรวมถึงการติดตามล็อตด้วยบาร์โค้ด บันทึกสภาพชิ้นส่วนดิจิทัล การลบข้อมูลลูกค้าก่อนซ่อมในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเกณฑ์ตัดสินใจซ่อมหรือยุติอายุใช้งานที่ชัดเจน
3) การจัดการบรรจุภัณฑ์
ในกระบวนการจัดการบรรจุภัณฑ์ แบบย้อนกลับ ธุรกิจจะมุ่งเน้นให้วัสดุบรรจุภัณฑ์ เช่น กล่อง, ถุง, หรือวัสดุห่อหุ้ม ถูกนำกลับมาใช้ซ้ำหรือนำกลับมารีไซเคิล เพื่อลดปริมาณของเสีย ลดต้นทุน และเสริมภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซอาจชักชวนให้ลูกค้าส่งคืนผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่องพร้อมบรรจุภัณฑ์เดิม เพื่อให้สามารถซ่อมแซมและส่งกลับได้ โดยใช้บรรจุภัณฑ์ชุดเดิมซึ่งลดความจำเป็นต้องใช้วัสดุใหม่ทั้งระบบ
4. สินค้าขายไม่ได้ / ขายไม่ออก
การที่ผู้ค้าปลีกส่งคืนสินค้าคงคลังส่วนเกินหรือสินค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดหมายกลับไปยังผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายหลัก ซึ่งอาจเกิดจากการประเมินความต้องการผิดพลาด การจัดส่งล่าช้า หรือการบริหารสินค้าคงคลังที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันธุรกิจหันมาใช้ข้อมูลวิเคราะห์และซอฟต์แวร์จัดการคืนสินค้า (RMA) เพื่อรองรับสินค้าส่วนนี้ ลดต้นทุนการเก็บสต็อก และเพิ่มโอกาสในการนำสินค้ากลับมาขายใหม่หรือรีไซเคิลแทนการปล่อยให้สูญเสียค่าได้อีกครั้ง
5. การจัดส่งไม่สำเร็จ
เมื่อส่งของแล้วลูกค้าไม่อยู่ ที่อยู่ผิด หรือปฏิเสธรับ ระบบจะเริ่มกระบวนการคืนสินค้า (Reverse Logistics) ทันที โดยบันทึกสาเหตุ แจ้งลูกค้าเพื่อนัดส่งใหม่ภายใน 1–3 วัน หรือให้เลือกรับที่จุดรับ หากยังไม่สำเร็จสินค้าจะถูกส่งกลับศูนย์คัดแยกเพื่อตรวจสภาพ คัดเกรด รีแพ็กหรือส่งซ่อม พร้อมคืนเงินหรือออกเครดิตอัตโนมัติ ทั้งนี้ข้อมูลการส่งคืนจะถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อลดความผิดพลาดในรอบถัดไป
6. สินค้าสัญญาเช่า
เมื่อครบกำหนดสัญญา ผู้ให้เช่ารับสินค้าคืนและตรวจสภาพ/ประเมินมูลค่าทันที บันทึกประวัติผ่านระบบติดตามทรัพย์สิน จากนั้นคัดแยกเส้นทางที่เหมาะสม: ทำความสะอาด ซ่อมบำรุง รีไซเคิล และจัดระดับคุณภาพเพื่อนำกลับเข้าให้เช่ารอบถัดไป หรือ ขายต่อ/หมุนเวียนสู่ลูกค้ารายใหม่ในเครือข่าย (รวมถึงต่างภูมิภาค/ต่างประเทศ) หากเกินจุดคุ้มซ่อมให้รื้อแยกชิ้นส่วนและรีไซเคิลอย่างรับผิดชอบ
7. การซ่อมและส่งคืน
คือขั้นตอนการรับสินค้าคืนจากลูกค้าเพื่อตรวจสอบและซ่อมแซม เช่น การรับเคลม ตรวจสภาพ ลบข้อมูล ซ่อมและทดสอบก่อนส่งคืน (เช่น โน็ตบุ็ค,สมาร์ทโฟน) หากซ่อมไม่ได้จะนำไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น แยกอะไหล่หรือนำกลับมารีไซเคิล กระบวนการนี้ช่วยลดต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
8. อายุพ้นสภาพการใช้งาน
เมื่อผลิตภัณฑ์หมดอายุการใช้งาน จะมีการคัดแยกและประเมินสภาพ หากซ่อมไม่ได้หรือไม่คุ้มค่า จะนำไปรีไซเคิล แยกชิ้นส่วนที่ยังใช้ได้ หรือกำจัดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อธรรมชาติและสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน
โลจิสติกส์ย้อนกลับ กับ โลจิสติกส์ปกติ แตกต่างกันอย่างไร
- กระบวนการโลจิสติกส์แบบปกติ (forward logistics) คือการเคลื่อนย้ายสินค้า ตั้งแต่ผู้ผลิต/ซัพพลายเออร์ ไปยังผู้จัดจำหน่ายค้าปลีก แล้วไปสิ้นสุดที่ลูกค้า ซึ่งครอบคลุมกิจกรรม เช่น การจัดซื้อ การจัดการคลังสินค้า การกระจายสินค้า การขนส่ง การแพ็ค และ การจัดการความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน
- โลจิสติกส์ย้อนกลับ (reverse logistics) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นหลังจากไปถึงลูกค้าแล้ว โดยสินค้า เคลื่อนย้ายจากปลายทางย้อนกลับไปยังต้นทาง เช่น การคืนซ่อมขายใหม่ รีไซเคิล หรือกำจัด เพื่อฟื้นค่าหรือจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งสองกระบวนการมีทิศทางที่ตรงกันข้ามแต่เชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน และในยุคของ e-commerce และความยั่งยืน reverse logistics มีบทบาทเพิ่มขึ้นมากเพราะผู้บริโภคคาดหวังการคืนสินค้าได้ง่าย และธุรกิจต้องควบคุมต้นทุนการคืนสินค้าให้มีประสิทธิภาพ
กระบวนการโลจิสติกส์ย้อนกลับ
ปัจจุบันไม่ใช่แค่การรับสินค้าคืน แต่รวมถึงการซ่อม การนำกลับมาใช้ใหม่ และการรีไซเคิล โดยแต่ละธุรกิจมีวิธีจัดการต่างกัน เช่น ร้านค้าออนไลน์ต้องรับมือกับการคืนสินค้าจำนวนมาก บางแห่งเริ่มคิดค่าธรรมเนียมคืนเพื่อลดต้นทุน ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าต้องมีระบบรองรับการซ่อมตามกฎหมายใหม่ของยุโรป ขณะเดียวกันหลายบริษัทใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในการคัดแยกสินค้าและลดของเสีย เป้าหมายหลักคือประหยัดต้นทุน เพิ่มการใช้ทรัพยากรซ้ำ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
1. เริ่มต้นขั้นตอนการคืนสินค้า
เมื่อมีการคืนสินค้าผ่านเว็บไซต์หรือแอป ธุรกิจต้องดำเนินการตามขั้นตอน จัดตารางรับคืน ตรวจสอบสินค้า อนุมัติคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้า พร้อมบันทึกเหตุผลการคืน (“สินค้าไม่ตรงตามที่อธิบาย” / “คุณภาพไม่เป็นไปตามคาด” / “เปลี่ยนใจ” ฯลฯ) เพื่อนำไปปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการ กระบวนการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Reverse Logistics ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าในยุค e-commerce
โดยในปี 2024-25 ธุรกิจค้าปลีกและอี-คอมเมิร์ซทั่วโลกต้องเผชิญกับการคืนสินค้ามูลค่าหลายร้อยพันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนว่า “การคืน” ไม่ใช่แค่ภาระ แต่ถ้าจัดการเป็นระบบแล้วสามารถกลายเป็นแหล่งข้อมูลเชิงกลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้.
2. ตรวจสภาพสินค้าคืน
เมื่อสินค้าถึงมือของธุรกิจอีกครั้งในกระบวนการ reverse logistics สิ่งแรกคือ ตรวจสอบสภาพและคุณภาพ โดยพิจารณาว่าจำเป็นต้องทำความสะอาด ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนหรือไม่ จากนั้นให้จัดประเภทไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างน้อย 3 หมวด ได้แก่
- “พร้อมขายต่อ” (Refurbished/Restock able)
- “รีไซเคิล/แยกชิ้นส่วน” (Recycle / Component-harvest)
- “ซ่อมแซมหรือปรับปรุงใหม่” (Repair / Remanufacture)
การมีระบบตัดสินใจล่วงหน้าและใช้เทคโนโลยีเช่นการสแกนรหัสสินค้า สถานะเหตุผลการคืน จะช่วยให้การจัดการสินค้าคืนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลาคลัง เพิ่มอัตราการคืนทุนจากสินค้าคืน และสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืนขององค์กร
3. นำผลิตภัณฑ์เข้าสู่กระบวนการจัดการตามหมวดหมู่
หลังจากจัดหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ให้เร่งย้ายสินค้าไปสู่จุดดำเนินการที่กำหนดไว้อย่างรวดเร็ว โดยแบ่งเป็น 3 กรณีหลัก
- รายการที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ หรือต่อยอดขายได้ ให้ทำการแยกชิ้นส่วนและเตรียมไว้สำหรับ re use/re sale ก่อน
- รายการที่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้ ให้รีไซเคิลอย่างรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
- รายการที่อยู่ในสถานะซ่อมได้ (เช่น ยังอยู่ภายใต้รับประกัน) ควรซ่อมและส่งคืนลูกค้า หรือหากไม่สามารถซ่อมได้ ให้กำจัดทิ้งอย่างปลอดภัย หรือหากยังมีมูลค่าอาจพิจารณาขายต่อเป็นสินค้าใหม่ได้
ผลประโยชน์ที่องค์กรได้รับจาก โลจิสติกส์ย้อนกลับ
- รักษาฐานลูกค้า : เพิ่มความพึงพอใจและความเชื่อมั่น ด้วยการรับคืนและส่งสินค้าทดแทนที่ถูกต้อง รวดเร็ว และใส่ใจ
- ลดปริมาณของเสีย : สินค้าคืนสามารถซ่อมแซม รีไซเคิล หรือนำกลับมาใช้ใหม่ ช่วยลดขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ : ข้อมูลจากการคืนสินค้า เช่น ปัญหาการใช้งานหรืออายุสินค้า ช่วยปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น
- ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าใหม่ : การนำสินค้าคืนมาปรับใช้ใหม่ช่วยลดต้นทุนการผลิต และสร้างรายได้เสริมจากสินค้าหรือวัสดุที่นำกลับมาใช้
- สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน : ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ตามแนวทางธุรกิจสีเขียวในยุคปัจจุบัน
ปัจจัยเสี่ยงในกระบวนการ โลจิสติกส์ย้อนกลับ
- ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น : กระบวนการรับคืนสินค้า การขนส่ง การคัดแยก และการซ่อมแซมอาจสร้างภาระด้านค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากไม่มีการวางแผนหรือระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ
- ความล่าช้าในการดำเนินงาน : การจัดการสินค้าคืนอาจใช้เวลานานกว่าที่คาด เช่น ขั้นตอนตรวจสอบหรือการจัดส่งกลับ ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความพึงพอใจของลูกค้า
- ความเสี่ยงต่อความเสียหายของสินค้า : สินค้าในขั้นตอนการขนส่งคืนหรือระหว่างการจัดเก็บอาจเกิดความเสียหาย สูญหาย หรือเสื่อมสภาพได้ง่ายกว่าสินค้าใหม่ ทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มเติม
- ความซับซ้อนของระบบข้อมูล : การติดตามสถานะสินค้าและการประมวลผลข้อมูลจากหลายฝ่ายอาจทำให้เกิดความผิดพลาด หากไม่มีระบบจัดการที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกัน
พื้นที่ คือหัวใจ BKK Warehouse ช่วยสนับสนุน Reverse Logistics ของคุณได้อย่างไร
1) แยกคลังชัดเจน เช่าพื้นที่สำหรับ คลังสินค้าคืน (Return Warehouse)
คืนพื้นที่คลังหลักของคุณให้กับสินค้า A-Grade (พร้อมขาย) และย้ายสินค้าตีกลับทั้งหมดมาไว้ที่คลังเช่าของ BKK Warehouse เพื่อรอจัดการ
2) สร้าง “ศูนย์คัดแยก” (Sorting Hub) ในพื้นที่ของคุณ
ธุรกิจสามารถใช้พื้นที่เช่าของเรา จัดตั้งเป็น “ศูนย์ปฏิบัติการ Reverse Logistics” ให้ทีมงานของคุณเข้ามา (ตั้งโต๊ะ QC, แพ็กของ, ซ่อมแซม) ได้อย่างเป็นสัดส่วน โดยไม่กระทบงานหลัก
3) ความยืดหยุ่นสูง (Flexible Space)
รองรับช่วงพีค (เช่น หลังแคมเปญ 11.11, 12.12 ที่ของคืนจะเยอะ) ธุรกิจสามารถเช่าพื้นที่เพิ่มชั่วคราวได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างคลังถาวร
4) ลดต้นทุนแฝงในการจัดการ
การมีพื้นที่เป็นสัดส่วนช่วยให้กระบวนการเร็วขึ้น สินค้าคืนถูกนำกลับไป “สร้างรายได้” (เช่น ขายต่อ, รีไซเคิล) ได้เร็วขึ้น ลดการสูญเสีย
กระบวนการที่ธุรกิจทำได้ เมื่อมี พื้นที่ ที่เหมาะสม
ขั้นที่ 1 : รับของคืน (Retrieval) ลูกค้า (ของคุณ) ขนของคืนมาที่คลังสินค้า BKK Warehouse
ขั้นที่ 2 : คัดแยก (Sorting ) ทีมงานของลูกค้า ใช้พื้นที่ของเราในการ QC (เช็กสภาพ)
ขั้นที่ 3 : จัดเก็บ (Storage)
- โซน A : สินค้าสภาพดี (Restock) -> รอนำกลับคลังหลัก
- โซน B : สินค้ามีตำหนิ (Refurbish/Resell) -> กองเก็บไว้รอขาย Outlet
- โซน C : สินค้าเสียหาย (Recycle/Dispose) -> รอนำไปทิ้ง/รีไซเคิล
ขั้นที่ 4 : ดำเนินการ (Action) ลูกค้าดำเนินการกับสินค้าในแต่ละโซนต่อไป
อย่าให้ ของคืน มาแย่ง พื้นที่ขาย ของคุณ
ย้ำว่า โลจิสติกส์ย้อนกลับ ไม่ใช่แค่เรื่อง “การขนส่ง” แต่คือ การจัดการพื้นที่คลังสินค้า
การจัดการสินค้าคืนที่มีประสิทธิภาพ เริ่มต้นที่การมีพื้นที่ที่เหมาะสม BKK Warehouse พร้อมให้บริการ พื้นที่ คลังสินค้าให้เช่า บนทำเลที่มีศักยภาพ ที่ยืดหยุ่น เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเปลี่ยนของคืนให้เป็นกำไร
โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้
ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทอง
หรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse
Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219 Telephone : 0-2394-5409
LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq


บทความแนะนำ
Reverse Logistics กลไกคืนสินค้าที่พลิกต้นทุนให้เป็นรายได้ คืออะไร?
อ่านเนื้อหาพ.ย.
ธุรกิจยุคใหม่ต้องรู้! 3PL คือ อะไร ทำไมถึงช่วยลดต้นทุนได้จริง
อ่านเนื้อหาต.ค.
สรุปความหมายของ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ฉบับเข้าใจง่าย
อ่านเนื้อหาต.ค.
ขนส่ง ระหว่าง ประเทศ 2025 รวมบริษัทชั้นนำ พร้อมเปรียบเทียบราคาและบริการ
อ่านเนื้อหาก.ย.
เจาะลึก! การขนส่งมีกี่ประเภท แต่ละแบบมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง?
อ่านเนื้อหาก.ค.
คลีนรูม คืออะไร? มีกี่ประเภท และทำไมถึงสำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคใหม่
อ่านเนื้อหามิ.ย.