พิกัดศุลกากร (HS Code) สำคัญอย่างไรกับการนำเข้าส่งออก

พิกัดศุลกากร (HS Code) สำคัญอย่างไรกับการนำเข้าส่งออก

พิกัดศุลกากร หรือ HS Code (Harmonized System Code) คือรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ในการจัดจำแนกประเภทของสินค้า เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศมีความชัดเจนและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในแต่ละประเทศมักมีชื่อเรียกสินค้าและวัตถุดิบแตกต่างกัน รวมถึงรูปแบบการจำแนกประเภทสินค้าก็อาจไม่เหมือนกัน จึงเกิดความสับสนในกระบวนการนำเข้า-ส่งออกสินค้า

สารบัญ

1. พิกัดศุลกากรHSCodeคืออะไรทำไมธุรกิจนำเข้า-ส่งออกต้องรู้

2. การจัดหมวดหมู่พิกัดศุลกากร

3. พิกัดศุลกากรการนำเข้า

4. พิกัดศุลกากรการส่งออก

พิกัดศุลกากร HS Code คืออะไร ทำไมธุรกิจนำเข้า-ส่งออกต้องรู้

HS Code หรือ รหัสพิกัดศุลกากร คือระบบการจำแนกประเภทสินค้าแบบมาตรฐานสากล ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการระบุชนิดของสินค้าให้ชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียวทั่วโลก เนื่องจากสินค้าและวัตถุดิบในแต่ละประเทศอาจมีชื่อเรียกหรือรายละเอียดแตกต่างกัน รหัส “HS Code” จึงช่วยให้การค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น เข้าใจตรงกัน และสามารถประเมินภาษีนำเข้าส่งออกได้อย่างแม่นยำ

พิกัดศุลกากร HS Code คืออะไร ทำไมธุรกิจนำเข้า-ส่งออกต้องรู้

พิกัดศุลกากร หรือ HS Code (Harmonized System) คือระบบรหัสมาตรฐานสากลที่ได้รับการพัฒนาและดูแลโดยองค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 176 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ระบบ HS Code นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการจำแนกสินค้าในทางการค้าระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความสะดวกในการจัดเก็บภาษี การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และการกำกับดูแลการนำเข้า-ส่งออกสินค้า

สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีการบังคับใช้ระบบ พิกัดศุลกากร HS Code อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 เพื่อแทนที่ระบบรหัสเดิมที่เรียกว่า Customs Co-operation Council Nomenclature (CCCN) ซึ่งใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 การปรับเปลี่ยนมาใช้ HS Code ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงข้อมูลทางการค้ากับนานาประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น และเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก

ระบบพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์ หรือ HS Code เป็นระบบสากลที่ใช้สำหรับการจำแนกประเภทสินค้าในทางศุลกากร โดยมีการแบ่งสินค้าออกเป็น 21 หมวด (Sections) และ 97 ตอน (Chapters) ซึ่งช่วยให้การจัดเก็บภาษี การค้า และการควบคุมสินค้านำเข้า-ส่งออกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

โครงสร้างของรหัส HS ประกอบด้วยตัวเลข ทั้งหมด 11 หลัก โดยแยกได้ดังนี้

  • 6 หลักแรก เป็นรหัสพิกัดศุลกากรกลาง ที่กำหนดโดยองค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

  • 2 หลักถัดมา ใช้ในกลุ่มอาเซียน เรียกว่า รหัสพิกัดฮาร์โมไนซ์อาเซียน (CEPT Code) เพื่อสนับสนุนระบบการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิก

  • 3 หลักสุดท้าย เป็น รหัสสถิติภายในประเทศ ที่แต่ละประเทศกำหนดขึ้นเอง เพื่อใช้ในการจัดเก็บข้อมูลหรือวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ

ระบบนี้ได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) และถือเป็นมาตรฐานสากลในการจำแนกชนิดสินค้าเพื่อการค้าโลก

โครงสร้างของรหัส HS Code ประกอบด้วยตัวเลข ทั้งหมด 11 หลัก

โครงสร้างเลขพิกัดศุลกากร 4 หลัก แรก

เลขพิกัดศุลกากร (HS Code) ประกอบด้วยตัวเลข 6 หลัก จะเป็นประเภท (Heading No.) ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ เพื่อจำแนกประเภทของสินค้า ดังนี้

  • 2 หลักแรก เป็นตัวบ่งชี้ “ตอน” (Chapter) ของสินค้านั้น

  • 2 หลักถัดมา ระบุ “ประเภท” (Heading) ซึ่งอยู่ภายใต้ตอนที่กล่าวถึง

ตัวอย่าง : หากพิจารณาพิกัดศุลกากร 2907

  • “29” หมายถึงสินค้าที่อยู่ในตอนที่ 29 ซึ่งครอบคลุมสารอินทรีย์ทางเคมี

  • “07” คือประเภทของสารในตอนดังกล่าว เช่น ฟีนอลและฟีนอลแอลกอฮอล์

การทำความเข้าใจโครงสร้างนี้มีความสำคัญต่อการจัดหมวดหมู่สินค้าสำหรับการนำเข้า-ส่งออกอย่างถูกต้อง

โครงสร้างเลขพิกัดศุลกากร 4 หลักถัดไป

เมื่อพูดถึงระบบพิกัดศุลกากร การจัดหมวดหมู่สินค้ามิได้หยุดเพียงแค่เลข 6 หลักแรกเท่านั้น เพราะยังมี “เลข 4 หลักถัดมา” ที่ทำหน้าที่ขยายรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเรียกว่า “ประเภทแยกย่อย” (Subheading)

โดยเลขทั้ง 4 หลักนี้สามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วน

  • 2 หลักแรก คือเลขที่ต่อจากเลข 6 หลักของระบบพิกัดมาตรฐานสากล (HS Code)

  • 2 หลักหลัง ใช้จำแนกระดับย่อยลงไปอีกภายใต้ระบบพิกัดของประเทศหรือกลุ่มเศรษฐกิจ

สำหรับประเทศไทย เราใช้ระบบพิกัดศุลกากรของอาเซียน (CEPT Code / the AHTN Protocol) ซึ่งรวมเลขประเภทแยกย่อยเข้ากับเลขหลักดั้งเดิม กลายเป็นเลขพิกัดศุลกากร 8 หลัก

ตัวอย่าง : เลขพิกัด 2907.10.00 คือ ฟีนอล (ไฮดรอกซิเบนซิน)

  • “2907” หมายถึงหมวดสารอินทรีย์ประเภทฟีนอล

  • “.10” ระบุเป็น “ฟีนอล” โดยเฉพาะ

  • “.00” ชี้ชัดว่าหมายถึงฟีนอลในรูปแบบพื้นฐาน (เช่น ไร้การเติมสารอื่นหรือเจือปน)

โครงสร้างนี้ช่วยให้การระบุประเภทสินค้าในการนำเข้าและส่งออกมีความแม่นยำและสอดคล้องตามมาตรฐานระหว่างประเทศ

โครงสร้างเลขพิกัดศุลกากร 3 หลักสุดท้าย

หลังจากกำหนดเลขพิกัดศุลกากรตามระบบมาตรฐานแล้ว ยังมีรหัสต่อท้ายอีก 3 หลัก ซึ่งเรียกว่า “รหัสสถิติ” (Statistics Code) ทำหน้าที่เจาะจงรายละเอียดของสินค้าให้ชัดเจนขึ้น โดยรวมถึง

  • รหัสสินค้า (Code for goods)

  • รหัสหน่วยนับสินค้า (Unit of goods)

ในระบบศุลกากรของหลายประเทศ หนึ่งในในนั้นคือ ประเทศไทย มีการกำหนดรหัสสถิติเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของประเทศนั้น ๆ เมื่อรวมเข้ากับเลขพิกัดศุลกากรดั้งเดิมที่มี 8 หลัก จะทำให้ได้รหัสสินค้าทั้งหมด 11 หลัก

องค์ประกอบของรหัส 11 หลัก ได้แก่

  • ข้อ 1 เลขตอน (Chapter)

  • ข้อ 2 ประเภทหลักและประเภทย่อย (Heading & Subheading)

  • ข้อ 3 รหัสสถิติ 3 หลัก ต่อท้าย (Statistical classification)

ในส่วนของรหัสหน่วยนับสินค้า (Unit code) ที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรหัสสถิติ จะใช้รหัสมาตรฐาน เช่น

  • KGM = กิโลกรัม

  • C62 = ชิ้น/หน่วย

  • LTR = ลิตร

  • MTR = เมตร

ตัวอย่าง
หากสินค้าใดมีรหัส HS Code 2907.10.00.90 พร้อมหน่วยสินค้าเป็น KGM แสดงว่าสินค้านั้นคือฟีนอล (Phenol) ซึ่งจัดอยู่ในรหัสสถิติ 90 และนับหน่วยเป็นกิโลกรัม

การเข้าใจรหัสสถิติและรหัสหน่วยสินค้าอย่างถูกต้อง มีความสำคัญต่อผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก เนื่องจากส่งผลต่อการยื่นเอกสารศุลกากร การชำระภาษี และการรายงานทางสถิติในระบบของรัฐ

การจัดหมวดหมู่ พิกัดศุลกากร

พิกัด HS Code เป็นระบบที่จำแนกประเภทสินค้าออกเป็น 21 หมวดหลัก รวมทั้งสิ้น 97 ตอน หรือ 5,386 รายการ โดยอิงตามกระบวนการผลิตของสินค้าแต่ละชนิด

การจัดหมวดหมู่ พิกัดศุลกากร
  • 01 สัตว์มีชีวิต
  • 02 เนื้อสัตว์และชิ้นส่วนที่ใช้บริโภค
  • 03 สัตว์น้ำและสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลัง
  • 04 ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ น้ำผึ้ง และของกินจากสัตว์อื่น ๆ ที่ไม่ถูกจัดไว้หมวดใด
  • 05 ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ไม่ถูกระบุไว้เฉพาะเจาะจงในหมวดอื่น
  • 06 พันธุ์ไม้ชนิดมีชีวิต รวมถึงต้นไม้ พืชหัว พืชราก และส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น ดอก ใบ ที่ใช้ประดับตกแต่ง

  • 07 ผักชนิดต่าง ๆ ที่สามารถบริโภคได้ รวมถึงรากและหัวของพืชบางชนิดที่นิยมรับประทาน

  • 08 ผลไม้รับประทานได้ รวมถึงลูกนัต และเปลือกผลไม้บางประเภท เช่น เปลือกส้ม หรือเปลือกแตงโม

  • 09 เครื่องดื่มที่ได้จากพืช เช่น กาแฟ ชา ชามาเต้ ตลอดจนเครื่องเทศชนิดต่าง ๆ

  • 10 ธัญพืชหลากหลายประเภทที่ใช้เป็นอาหารหรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรม

  • 11 ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการจากเมล็ดธัญพืช เช่น แป้ง มอลต์ สตาร์ช อินูลิน และกลูเตนที่ได้จากข้าวสาลี

  • 12 เมล็ดพืชน้ำมัน ผลไม้เมล็ดแข็ง เมล็ดธัญพืชชนิดต่าง ๆ พืชที่ใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมหรือการแพทย์ รวมถึงฟางและหญ้าแห้งที่ใช้เลี้ยงสัตว์

  • 13 สารที่ได้จากพืช เช่น ครั่ง กัม เรซิน น้ำเลี้ยงพืช (แซป) และสารสกัดจากพืชชนิดอื่น ๆ

  • 14 วัตถุดิบจากพืชที่ใช้ในงานจักสาน และผลิตผลจากพืชที่ไม่สามารถจัดรวมไว้ในกลุ่มอื่น

  • 15 กลุ่มผลิตภัณฑ์ไขมันและน้ำมันที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ เช่น สัตว์หรือพืช รวมถึงไขมันที่ผ่านการปรุงแต่งให้บริโภคได้ และผลิตภัณฑ์ที่สกัดหรือแยกออกจากไขหรือมันเหล่านั้น
  • 16 ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งโดยใช้เนื้อสัตว์ ปลา หรือสัตว์น้ำจำพวกครัสตาเซีย โมลลุสก์ และสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
  • 17 ขนมหวานและของกินเล่นที่ผลิตจากน้ำตาล รวมถึงชูการ์คอนแฟกชันเนอรีทุกชนิด
  • 18 สารสกัดหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโกโก้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของผง ของหวาน หรือของว่าง
  • 19 ผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้วัตถุดิบจากธัญพืช แป้ง สตาร์ช หรือนม ซึ่งรวมถึงเบเกอรี่และเพสทรี
  • 20 อาหารปรุงแต่งซึ่งมีส่วนประกอบจากพืชผัก ผลไม้ ลูกนัต หรือส่วนอื่นของพืชที่นำมาดัดแปลงเป็นอาหาร
  • 21 ผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ จากพืชที่ไม่สามารถจัดให้อยู่ในหมวดหลักได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับพืชเป็นหลัก
  • 22 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทต่าง ๆ รวมถึงน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากการหมัก
  • 23 เศษวัสดุและของเหลือที่ได้จากกระบวนการผลิตอาหาร ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์
  • 24 ยาสูบชนิดต่าง ๆ และสินค้าที่ออกแบบมาเพื่อใช้แทนการบริโภคยาสูบโดยตรง
  • 28 สารเคมีอนินทรีย์และสารประกอบประเภทอนินทรีย์ รวมถึงสารของโลหะมีค่า โลหะแรร์เอิร์ท ธาตุกัมมันตรังสี และไอโซโทป
  • 29 สารอินทรีย์เคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ครอบคลุมวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับการผลิตสารเคมีอื่น
  • 30 ยาและเวชภัณฑ์สำหรับการรักษาหรือป้องกันโรค รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมทุกชนิด
  • 31 ปุ๋ยทุกประเภท ทั้งที่ใช้ในการเกษตรกรรมทั่วไปและสูตรเฉพาะสำหรับพืชเฉพาะชนิด
  • 32 วัตถุเคมีที่ใช้ในกระบวนการฟอกหนังและย้อมสี เช่น แทนนิน สีผสม สีย้อม สีทา หมึก และผลิตภัณฑ์เคลือบพื้นผิว
  • 33 น้ำมันหอมระเหย สารแต่งกลิ่น รวมถึงเครื่องหอม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลร่างกายและความงาม
  • 34 สบู่ สารลดแรงตึงผิว วัสดุซักล้าง น้ำยาหล่อลื่น ไขเทียม สารขัดเงา เทียน และผลิตภัณฑ์ขัดถู รวมถึงวัสดุทันตกรรมที่มีส่วนประกอบจากปลาสเตอร์
  • 35 สารประเภทโปรตีน (แอลบูมินอยด์) แป้งดัดแปร (Modified starch) กาว และเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรม
  • 36 วัตถุไวไฟ เช่น ดินปืน ดอกไม้ไฟ ไม้ขีดไฟ และสารผสมที่ติดไฟง่ายซึ่งใช้ในงานเฉพาะทาง
  • 37 อุปกรณ์และวัสดุสำหรับการถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว เช่น ฟิล์ม น้ำยา และสารเคมีเฉพาะ
  • 38 สารเคมีชนิดพิเศษหรือเบ็ดเตล็ดที่ไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดโดยเฉพาะ
  • 39 วัสดุสังเคราะห์ประเภทพลาสติก และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วน วัสดุบรรจุภัณฑ์ หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน
  • 40 ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ รวมถึงของใช้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยาง เช่น อะไหล่ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม หรือของใช้ทั่วไปที่มีส่วนประกอบหลักเป็นยาง
  • 41 หนังดิบที่ยังไม่ผ่านกระบวนการตกแต่ง (ไม่รวมขนสัตว์หรือเฟอร์) และหนังที่ผ่านการฟอกเพื่อเตรียมไว้ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง
  • 42 ผลิตภัณฑ์จากหนังสำเร็จรูป เช่น เครื่องใช้จากเครื่องหนัง เครื่องอาน ชุดเทียมลาก กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ รวมถึงของใช้ที่ผลิตจากไส้สัตว์ (ยกเว้นไส้ไหม)
  • 43 หนังสัตว์ที่ยังมีขนติดอยู่ (เฟอร์) ทั้งของแท้และสังเคราะห์ รวมถึงสินค้าที่ทำขึ้นจากเฟอร์หรือเฟอร์เทียมในรูปแบบต่าง ๆ
  • 44 วัสดุไม้และของใช้ที่ผลิตจากไม้ รวมถึงถ่านไม้ซึ่งได้จากการเผาไม้ในกระบวนการควบคุม
  • 45 ไม้ก๊อกทั้งในรูปวัตถุดิบและในรูปแบบของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่แปรรูปจากไม้ก๊อก เช่น แผ่น ปลั๊ก หรือของใช้ทั่วไป
  • 46 สิ่งของที่ทำจากฟาง เอสพาร์โต หรือวัสดุสำหรับงานสานอื่น ๆ ครอบคลุมเครื่องจักสาน เครื่องสาน และผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดประเภทถักทอจากเส้นใยธรรมชาติ
  • 47 เยื่อไม้และเยื่อจากเส้นใยเซลลูโลสชนิดอื่น รวมถึงเศษกระดาษและของเหลือใช้ที่ไม่สามารถนำไปใช้งานได้อีก
  • 48 ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากกระดาษหรือกระดาษแข็ง เช่น ของใช้ที่แปรรูปจากเยื่อกระดาษ กระดาษแผ่น และภาชนะจากกระดาษ
  • 49 สิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่ม หนังสือพิมพ์ รูปภาพ งานพิมพ์เชิงพาณิชย์ ต้นฉบับที่เขียนหรือพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด และแบบแปลนทางเทคนิค
  • 50 ไหม ซึ่งได้จากการผลิตจากเส้นใยไหมของแมลง
  • 51 ขนสัตว์ชนิดต่าง ๆ รวมถึงขนแกะ ขนละเอียดหรือขนหยาบจากสัตว์ต่าง ๆ ด้ายขนม้า และผ้าทอจากขนสัตว์
  • 52 ฝ้าย ซึ่งเป็นเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากพืชฝ้าย ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
  • 53 เส้นใยจากพืชชนิดอื่น ๆ รวมถึงด้ายกระดาษและผ้าทอที่ผลิตจากเส้นใยกระดาษ
  • 54 ใยประดิษฐ์ที่มีลักษณะยาว ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและการผลิตวัสดุ
  • 55 เส้นใยประดิษฐ์ที่มีลักษณะสั้น ใช้ในกระบวนการผลิตเส้นใยหรือสิ่งทอที่ต้องการความละเอียด
  • 56 วัสดุสิ่งทอที่มีการผลิตพิเศษ เช่น แวดดิ้ง สักหลาด ผ้าไม่ทอ ด้ายชนิดพิเศษ เชือกทไวน์ เชือกคอร์เดจ และเคเบิล รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุดังกล่าว
  • 57 พรมและสิ่งทอที่ใช้ปูพื้น เช่น พรมทอมือและวัสดุทอพื้นอื่น ๆ
  • 58 ผ้าทอชนิดพิเศษ รวมถึงผ้าปูแบบทัฟต์ ผ้าลูกไม้ ผ้าเทเพสทรี และผ้าที่ใช้ตกแต่ง ตลอดจนผ้าที่มีการปักลวดลาย
  • 59 ผ้าสิ่งทอที่ผ่านกระบวนการเคลือบ อาบซึม หรือหุ้มสารเคมี รวมถึงวัสดุที่เหมาะสำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม
  • 60 ผ้าถักด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น ผ้าถักแบบนิตและแบบโครเชต์
  • 61 เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเครื่องแต่งกายซึ่งถักด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น แบบนิตและโครเชต์
  • 62 เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเครื่องแต่งกายซึ่งไม่ได้ถักด้วยเทคนิคแบบนิตหรือโครเชต์
  • 63 ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสิ่งทอและใช้แล้ว เช่น ชุดเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ผ้าขี้ริ้ว และของใช้จากสิ่งทอที่จัดทำเรียบร้อยแล้ว
  • 64 รองเท้าและสนับแข้ง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน รวมถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิต
  • 65 เครื่องสวมศีรษะและส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตหรือตกแต่งเครื่องสวมศีรษะ เช่น หมวก และอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง
  • 66 ร่มและอุปกรณ์กันแดด รวมถึงไม้เท้า, ไม้เท้าที่สามารถใช้เป็นที่นั่งได้, แส้ (วิป), แส้ขี่ม้า และส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน
  • 67 ขนจากสัตว์ปีกทั้งขนแข็งและขนอ่อนที่ได้รับการเตรียมแล้ว รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากขนสัตว์ปีก ดอกไม้เทียม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผมคน
  • 68 สิ่งของที่ผลิตจากวัสดุประเภทหิน ปูนปลาสเตอร์ ซีเมนต์ แอสเบสตอส ไมกา หรือวัสดุอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
  • 69 ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเซรามิกในรูปแบบต่าง ๆ
  • 70 แก้วและของใช้ที่ทำจากแก้วในลักษณะต่าง ๆ
  • 71 ไข่มุกทั้งจากธรรมชาติและการเพาะเลี้ยง อัญมณีหรือกึ่งอัญมณี โลหะมีค่า รวมถึงโลหะทั่วไปที่ชุบหรือหุ้มด้วยโลหะมีค่า ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับแท้ เครื่องประดับเทียม และเหรียญกษาปณ์
  • 72 เหล็กและเหล็กกล้าในรูปแบบต่าง ๆ
  • 73 ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นจากเหล็กหรือเหล็กกล้า
  • 74 ทองแดง รวมถึงสิ่งของที่ผลิตจากทองแดง
  • 75 นิกเกิล และผลิตภัณฑ์ที่มีนิกเกิลเป็นวัสดุหลัก
  • 76 อะลูมิเนียม พร้อมทั้งของใช้หรือสิ่งของที่ผลิตจากอะลูมิเนียม
  • 78 ตะกั่ว และของที่ทำขึ้นจากตะกั่ว
  • 79 สังกะสี รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสังกะสี
  • 80 ดีบุก และสิ่งของที่ผลิตจากดีบุก
  • 81 โลหะทั่วไปประเภทอื่น ๆ รวมถึงเซอร์เมต และผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุเหล่านี้
  • 82 เครื่องมือ เครื่องใช้ ของมีคม ช้อน ส้อม รวมถึงชิ้นส่วนที่ทำจากโลหะสามัญ
  • 83 ของใช้เบ็ดเตล็ดซึ่งทำจากโลหะทั่วไป
  • 84 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์, บอยเลอร์, เครื่องจักร, อุปกรณ์กลไก และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องดังกล่าว
  • 85 เครื่องจักรไฟฟ้า, อุปกรณ์ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนของเครื่องจักร, เครื่องบันทึกเสียง, เครื่องถอดเสียง, รวมถึงเครื่องบันทึกและถอดเสียงและภาพทางโทรทัศน์ พร้อมทั้งส่วนประกอบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องเหล่านี้
  • 86 เครื่องยนต์หัวลากสำหรับรถไฟหรือรถราง, ยานพาหนะที่วิ่งบนราง รวมถึงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง, สิ่งติดตั้งถาวรและอุปกรณ์สำหรับระบบราง, ตลอดจนเครื่องมือกลและเครื่องกลไฟฟ้าที่ใช้ในการควบคุมและสื่อสารสัญญาณการจราจรทุกรูปแบบ
  • 87 ยานพาหนะทางบกที่ไม่รวมถึงยานที่วิ่งบนราง พร้อมด้วยชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง
  • 88 อากาศยานและยานสำรวจอวกาศ ตลอดจนส่วนประกอบต่าง ๆ ของยานเหล่านี้
  • 89 เรือประเภทต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่สามารถลอยน้ำได้
  • 90 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในด้านแสงและทัศนศาสตร์ การถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว การวัดผล การตรวจสอบความแม่นยำ ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์และศัลยกรรม พร้อมทั้งชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง
  • 91 นาฬิกาแบบตั้งโต๊ะ แขวนผนัง (คล็อก) และแบบข้อมือหรือพกพา (วอตซ์) รวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ของนาฬิกาประเภทเหล่านี้
  • 92 เครื่องดนตรีทุกชนิด รวมไปถึงส่วนประกอบและอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับเครื่องดนตรี
  • 93 อาวุธปืน อาวุธประเภทอื่น ๆ พร้อมด้วยกระสุน ชิ้นส่วนต่าง ๆ และอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับอาวุธเหล่านั้น
  • 94 เฟอร์นิเจอร์ประเภทต่างๆ เช่น เตียง เบาะ ฟูก ฐานรองฟูก รวมถึงของตกแต่งภายในที่มีการบรรจุวัสดุภายใน เช่น เบาะนุ่ม โซฟา และของที่มีลักษณะคล้ายกัน ตลอดจนโคมไฟและอุปกรณ์ให้แสงสว่างซึ่งไม่จัดอยู่ในหมวดอื่น รวมทั้งป้ายชื่อหรือสัญลักษณ์ที่มีแสง และอาคารที่ผลิตสำเร็จรูป
  • 95 ของเล่นและอุปกรณ์สำหรับเล่นเกม รวมถึงเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นกีฬา พร้อมทั้งส่วนประกอบต่างๆ ที่ใช้ร่วมกัน
  • 96 สินค้าทั่วไปประเภทเบ็ดเตล็ด ซึ่งไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่จำเพาะอื่นๆ ได้

เป็นชุดข้อมูลที่จัดทำขึ้นใหม่ โดยแบ่งรายการออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  • วัตถุดิบ จำนวน 508 รายการ

  • สินค้ากึ่งสำเร็จรูป จำนวน 2,124 รายการ

  • ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป จำนวน 2,754 รายการ

แต่ละกลุ่มมีการประเมินอัตราอากรนำเข้าในช่วงที่แตกต่างกัน โดยประมาณดังนี้

  • วัตถุดิบ: อากรอยู่ในช่วง 0 – 1%

  • สินค้ากึ่งสำเร็จรูป: อากรประมาณ 3 – 5%

  • ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป: อัตราอากรอยู่ระหว่าง 10 – 40%

การระบุรหัสพิกัดสินค้าและหา พิกัดศุลกากร อย่างถูกต้อง

“ปัจจุบัน ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบพิกัดศุลกากรได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของกรมศุลกากรในส่วนของการ ค้นหาพิกัดสินค้า ระบบ Tariff e-Service หรือผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือที่ชื่อว่า ‘HS Check’ ซึ่งพร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งบน Google Play และ App Store

พิกัดศุลกากร การนำเข้า

ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว “พิกัดศุลกากร” ได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญของระบบโลจิสติกส์และการบริหารจัดการการนำเข้าสินค้า พิกัดศุลกากรไม่ใช่แค่ตัวเลข 8 หรือ 11 หลักเท่านั้น หากแต่เป็นรหัสที่แฝงไว้ด้วยข้อมูลด้านภาษี มาตรฐานสินค้า และกฎระเบียบเฉพาะของแต่ละประเทศ

สิ่งสำคัญ พิกัดศุลกากร กับนำเข้าสินค้า

หลายคนอาจเข้าใจว่าพิกัดศุลกากรมีไว้เพื่อคำนวณภาษีนำเข้าเพียงอย่างเดียว แต่อันที่จริงแล้ว รหัสนี้ยังมีผลต่อหลายปัจจัย เช่น

  • การใช้สิทธิพิเศษทางการค้า เช่น ข้อตกลง FTA หรือ RCEP หากพิกัดศุลกากรไม่ตรงตามรายการในความตกลง ก็อาจเสียสิทธิทางภาษีได้

  • ข้อกำหนดพิเศษ บางสินค้าต้องมีใบอนุญาตนำเข้า (เช่น เครื่องมือแพทย์ หรือสารเคมี) ซึ่งจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในพิกัด

  • การตรวจสอบย้อนกลับ เจ้าหน้าที่สามารถติดตามแหล่งที่มาหรือประเภทสินค้าได้จากพิกัดนี้ หากมีกรณีการละเมิดหรือข้อพิพาททางการค้า

แนวทางการจัดพิกัดศุลกากรสำหรับการนำเข้า

  • ศึกษารายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน สินค้านั้นใช้ทำอะไร ผลิตจากวัสดุอะไร หรือ ใช้เทคโนโลยีอะไรบ้างในการผลิต
  • ค้นหารหัส HS เบื้องต้น ใช้เว็บไซต์ของกรมศุลกากร หรือระบบ HS Lookup ที่จัดให้มีการค้นหาพิกัดออนไลน์
  • ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ บริษัทโลจิสติกส์ หรือบริษัทตัวแทนออกของ (Customs Broker) สามารถช่วยตรวจสอบพิกัดเบื้องต้นได้
  • ขอวินิจฉัยล่วงหน้า (Binding Tariff Classification) หากไม่แน่ใจ ให้ยื่นขอความเห็นอย่างเป็นทางการจากกรมศุลกากร เพื่อรับรองพิกัดก่อนการนำเข้า

ตัวอย่างกรณีศึกษา การนำเข้า “เครื่องกรองอากาศ” สินค้า เครื่องกรองอากาศขนาดเล็ก ใช้ในบ้าน

  • หากระบุเป็น “เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป” อาจถูกจัดเก็บภาษีในอัตราสูง

  • แต่ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็น “เครื่องมือเพื่อสุขภาพ” อาจอยู่ในกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า

พิกัดศุลกากรที่ใกล้เคียงกันอาจมีผลต่อภาษีต่างกันถึง 10-20%

พิกัดศุลกากร การส่งออก

พิกัดศุลกากรในการส่งออก คือระบบการจัดหมวดหมู่สินค้าเพื่อใช้ในการระบุประเภทสินค้าอย่างเป็นทางการ รหัสที่เลือกใช้ต้องแม่นยำ เพราะจะถูกส่งผ่านระบบศุลกากรไปยังปลายทาง ซึ่งประเทศผู้นำเข้าจะใช้รหัสนี้ในการกำหนดภาษีนำเข้า มาตรการกีดกันทางการค้า หรือแม้แต่การยกเว้นภาษีตามความตกลงระหว่างประเทศ

สิ่งสำคัญ พิกัดศุลกากร กับการส่งออกสินค้า

  • กำหนดอัตราภาษีปลายทาง หากระบุพิกัดไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้นำเข้าถูกเรียกเก็บภาษีมากกว่าความเป็นจริง และส่งผลกระทบต่อราคาขายในประเทศปลายทาง

  • ใช้ในการขอสิทธิพิเศษทางภาษี หลายประเทศให้สิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าแก่สินค้าที่มาจากไทย ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อพิกัดศุลกากรตรงกับที่ระบุในเงื่อนไข

  • ความรวดเร็วในการผ่านพิธีการศุลกากร รหัสที่ถูกต้องช่วยให้การตรวจปล่อยสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความเสี่ยงในการถูกสุ่มตรวจซ้ำ

แนวทางการจัด พิกัดศุลกากร สำหรับการส่งออก

  • วิเคราะห์สินค้า เริ่มจากการระบุลักษณะเฉพาะของสินค้า เช่น ส่วนประกอบ วิธีผลิต การใช้งาน

  • เทียบกับพิกัดมาตรฐานสากล ใช้ตาราง HS Code ที่อ้างอิงตามมาตรฐาน WCO ร่วมกับประกาศของกรมศุลกากรไทย

  • ตรวจสอบข้อกำหนดพิเศษของประเทศปลายทาง เช่น สินค้าบางประเภทอาจถูกจำกัด หรือต้องผ่านการรับรองก่อนเข้าประเทศ

  • ขอรับรองจากกรมศุลกากร (Binding Ruling) สำหรับสินค้าที่จัดพิกัดได้ยาก ผู้ส่งออกสามารถยื่นคำร้องเพื่อให้กรมศุลกากรช่วยวินิจฉัยพิกัดล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ

ตัวอย่างกรณีศึกษา การส่งออก “สบู่สมุนไพรไทย” สบู่สมุนไพรอาจดูเป็นสินค้าง่าย ๆ แต่การจัดพิกัดต้องพิจารณาว่า

  • เป็นสบู่เพื่อความงามหรือเพื่อการแพทย์?

  • มีส่วนผสมหลักจากพืชหรือสารสังเคราะห์?

  • ใช้ในบ้านหรือเพื่อสปาเชิงพาณิชย์?

การเลือก HS Code จึงต้องใช้ข้อมูลที่ละเอียด เพื่อให้ส่งออกได้อย่างถูกต้อง และลูกค้าในต่างประเทศไม่ต้องรับภาระภาษีเกินจริง

 

หากคุณต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการ คำนวณภาษีอากรขาเข้าและขาออก สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ บทความ ศุลกากร คือ ด่านแรกของการค้าระหว่างประเทศ มีหน้าที่อะไรบ้าง?

 

สรุป การจัดพิกัดศุลกากรไม่ใช่เรื่องของระบบราชการเท่านั้น แต่เป็น “กลยุทธ์” ทางธุรกิจที่ส่งผลต่อต้นทุน การบริหารเวลา และความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้าระหว่างประเทศ ผู้ประกอบการนำเข้าที่เข้าใจระบบพิกัดศุลกากรอย่างถ่องแท้ จะสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก

ข้อมูลบางส่วนในบทความนี้ได้มาจากเว็บไซต์ของกรมศุลกากร (www.customs.go.th) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของศุลกากร รวมถึงกฎระเบียบและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า

 

โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้

ยูนิตว่าง พร้อมให้เช่า คลิ๊กดูโครงการได้ที่นี่

ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทองหรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse

Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219  Telephone : 0-2394-5409

LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq

บทความแนะนำ