พิกัดศุลกากร หรือ HS Code (Harmonized System Code) คือรหัสมาตรฐานสากลที่ใช้ในการจัดจำแนกประเภทของสินค้า เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศมีความชัดเจนและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในแต่ละประเทศมักมีชื่อเรียกสินค้าและวัตถุดิบแตกต่างกัน รวมถึงรูปแบบการจำแนกประเภทสินค้าก็อาจไม่เหมือนกัน จึงเกิดความสับสนในกระบวนการนำเข้า-ส่งออกสินค้า
พิกัดศุลกากร HS Code คืออะไร ทำไมธุรกิจนำเข้า-ส่งออกต้องรู้
HS Code หรือ รหัสพิกัดศุลกากร คือระบบการจำแนกประเภทสินค้าแบบมาตรฐานสากล ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการระบุชนิดของสินค้าให้ชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียวทั่วโลก เนื่องจากสินค้าและวัตถุดิบในแต่ละประเทศอาจมีชื่อเรียกหรือรายละเอียดแตกต่างกัน รหัส “HS Code” จึงช่วยให้การค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น เข้าใจตรงกัน และสามารถประเมินภาษีนำเข้าส่งออกได้อย่างแม่นยำ
พิกัดศุลกากร หรือ HS Code (Harmonized System) คือระบบรหัสมาตรฐานสากลที่ได้รับการพัฒนาและดูแลโดยองค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 176 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ระบบ HS Code นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการจำแนกสินค้าในทางการค้าระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความสะดวกในการจัดเก็บภาษี การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ และการกำกับดูแลการนำเข้า-ส่งออกสินค้า
สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีการบังคับใช้ระบบ พิกัดศุลกากร HS Code อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2531 เพื่อแทนที่ระบบรหัสเดิมที่เรียกว่า Customs Co-operation Council Nomenclature (CCCN) ซึ่งใช้งานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 การปรับเปลี่ยนมาใช้ HS Code ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงข้อมูลทางการค้ากับนานาประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น และเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
ระบบพิกัดศุลกากรฮาร์โมไนซ์ หรือ HS Code เป็นระบบสากลที่ใช้สำหรับการจำแนกประเภทสินค้าในทางศุลกากร โดยมีการแบ่งสินค้าออกเป็น 21 หมวด (Sections) และ 97 ตอน (Chapters) ซึ่งช่วยให้การจัดเก็บภาษี การค้า และการควบคุมสินค้านำเข้า-ส่งออกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
โครงสร้างของรหัส HS ประกอบด้วยตัวเลข ทั้งหมด 11 หลัก โดยแยกได้ดังนี้
-
6 หลักแรก เป็นรหัสพิกัดศุลกากรกลาง ที่กำหนดโดยองค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
-
2 หลักถัดมา ใช้ในกลุ่มอาเซียน เรียกว่า รหัสพิกัดฮาร์โมไนซ์อาเซียน (CEPT Code) เพื่อสนับสนุนระบบการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิก
-
3 หลักสุดท้าย เป็น รหัสสถิติภายในประเทศ ที่แต่ละประเทศกำหนดขึ้นเอง เพื่อใช้ในการจัดเก็บข้อมูลหรือวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ
ระบบนี้ได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) และถือเป็นมาตรฐานสากลในการจำแนกชนิดสินค้าเพื่อการค้าโลก
โครงสร้างเลขพิกัดศุลกากร 4 หลัก แรก
เลขพิกัดศุลกากร (HS Code) ประกอบด้วยตัวเลข 6 หลัก จะเป็นประเภท (Heading No.) ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ เพื่อจำแนกประเภทของสินค้า ดังนี้
-
2 หลักแรก เป็นตัวบ่งชี้ “ตอน” (Chapter) ของสินค้านั้น
-
2 หลักถัดมา ระบุ “ประเภท” (Heading) ซึ่งอยู่ภายใต้ตอนที่กล่าวถึง
ตัวอย่าง : หากพิจารณาพิกัดศุลกากร 2907
-
“29” หมายถึงสินค้าที่อยู่ในตอนที่ 29 ซึ่งครอบคลุมสารอินทรีย์ทางเคมี
-
“07” คือประเภทของสารในตอนดังกล่าว เช่น ฟีนอลและฟีนอลแอลกอฮอล์
การทำความเข้าใจโครงสร้างนี้มีความสำคัญต่อการจัดหมวดหมู่สินค้าสำหรับการนำเข้า-ส่งออกอย่างถูกต้อง
โครงสร้างเลขพิกัดศุลกากร 4 หลักถัดไป
เมื่อพูดถึงระบบพิกัดศุลกากร การจัดหมวดหมู่สินค้ามิได้หยุดเพียงแค่เลข 6 หลักแรกเท่านั้น เพราะยังมี “เลข 4 หลักถัดมา” ที่ทำหน้าที่ขยายรายละเอียดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเรียกว่า “ประเภทแยกย่อย” (Subheading)
โดยเลขทั้ง 4 หลักนี้สามารถแยกออกได้เป็น 2 ส่วน
-
2 หลักแรก คือเลขที่ต่อจากเลข 6 หลักของระบบพิกัดมาตรฐานสากล (HS Code)
-
2 หลักหลัง ใช้จำแนกระดับย่อยลงไปอีกภายใต้ระบบพิกัดของประเทศหรือกลุ่มเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทย เราใช้ระบบพิกัดศุลกากรของอาเซียน (CEPT Code / the AHTN Protocol) ซึ่งรวมเลขประเภทแยกย่อยเข้ากับเลขหลักดั้งเดิม กลายเป็นเลขพิกัดศุลกากร 8 หลัก
ตัวอย่าง : เลขพิกัด 2907.10.00 คือ ฟีนอล (ไฮดรอกซิเบนซิน)
-
“2907” หมายถึงหมวดสารอินทรีย์ประเภทฟีนอล
-
“.10” ระบุเป็น “ฟีนอล” โดยเฉพาะ
-
“.00” ชี้ชัดว่าหมายถึงฟีนอลในรูปแบบพื้นฐาน (เช่น ไร้การเติมสารอื่นหรือเจือปน)
โครงสร้างนี้ช่วยให้การระบุประเภทสินค้าในการนำเข้าและส่งออกมีความแม่นยำและสอดคล้องตามมาตรฐานระหว่างประเทศ
โครงสร้างเลขพิกัดศุลกากร 3 หลักสุดท้าย
หลังจากกำหนดเลขพิกัดศุลกากรตามระบบมาตรฐานแล้ว ยังมีรหัสต่อท้ายอีก 3 หลัก ซึ่งเรียกว่า “รหัสสถิติ” (Statistics Code) ทำหน้าที่เจาะจงรายละเอียดของสินค้าให้ชัดเจนขึ้น โดยรวมถึง
-
รหัสสินค้า (Code for goods)
-
รหัสหน่วยนับสินค้า (Unit of goods)
ในระบบศุลกากรของหลายประเทศ หนึ่งในในนั้นคือ ประเทศไทย มีการกำหนดรหัสสถิติเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของประเทศนั้น ๆ เมื่อรวมเข้ากับเลขพิกัดศุลกากรดั้งเดิมที่มี 8 หลัก จะทำให้ได้รหัสสินค้าทั้งหมด 11 หลัก
องค์ประกอบของรหัส 11 หลัก ได้แก่
-
ข้อ 1 เลขตอน (Chapter)
-
ข้อ 2 ประเภทหลักและประเภทย่อย (Heading & Subheading)
-
ข้อ 3 รหัสสถิติ 3 หลัก ต่อท้าย (Statistical classification)
ในส่วนของรหัสหน่วยนับสินค้า (Unit code) ที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรหัสสถิติ จะใช้รหัสมาตรฐาน เช่น
-
KGM = กิโลกรัม
-
C62 = ชิ้น/หน่วย
-
LTR = ลิตร
-
MTR = เมตร
ตัวอย่าง
หากสินค้าใดมีรหัส HS Code 2907.10.00.90 พร้อมหน่วยสินค้าเป็น KGM แสดงว่าสินค้านั้นคือฟีนอล (Phenol) ซึ่งจัดอยู่ในรหัสสถิติ 90 และนับหน่วยเป็นกิโลกรัม
การเข้าใจรหัสสถิติและรหัสหน่วยสินค้าอย่างถูกต้อง มีความสำคัญต่อผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก เนื่องจากส่งผลต่อการยื่นเอกสารศุลกากร การชำระภาษี และการรายงานทางสถิติในระบบของรัฐ
การจัดหมวดหมู่ พิกัดศุลกากร
พิกัด HS Code เป็นระบบที่จำแนกประเภทสินค้าออกเป็น 21 หมวดหลัก รวมทั้งสิ้น 97 ตอน หรือ 5,386 รายการ โดยอิงตามกระบวนการผลิตของสินค้าแต่ละชนิด
- 01 สัตว์มีชีวิต
- 02 เนื้อสัตว์และชิ้นส่วนที่ใช้บริโภค
- 03 สัตว์น้ำและสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลัง
- 04 ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ น้ำผึ้ง และของกินจากสัตว์อื่น ๆ ที่ไม่ถูกจัดไว้หมวดใด
- 05 ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ไม่ถูกระบุไว้เฉพาะเจาะจงในหมวดอื่น
-
06 พันธุ์ไม้ชนิดมีชีวิต รวมถึงต้นไม้ พืชหัว พืชราก และส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น ดอก ใบ ที่ใช้ประดับตกแต่ง
-
07 ผักชนิดต่าง ๆ ที่สามารถบริโภคได้ รวมถึงรากและหัวของพืชบางชนิดที่นิยมรับประทาน
-
08 ผลไม้รับประทานได้ รวมถึงลูกนัต และเปลือกผลไม้บางประเภท เช่น เปลือกส้ม หรือเปลือกแตงโม
-
09 เครื่องดื่มที่ได้จากพืช เช่น กาแฟ ชา ชามาเต้ ตลอดจนเครื่องเทศชนิดต่าง ๆ
-
10 ธัญพืชหลากหลายประเภทที่ใช้เป็นอาหารหรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรม
-
11 ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการจากเมล็ดธัญพืช เช่น แป้ง มอลต์ สตาร์ช อินูลิน และกลูเตนที่ได้จากข้าวสาลี
-
12 เมล็ดพืชน้ำมัน ผลไม้เมล็ดแข็ง เมล็ดธัญพืชชนิดต่าง ๆ พืชที่ใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมหรือการแพทย์ รวมถึงฟางและหญ้าแห้งที่ใช้เลี้ยงสัตว์
-
13 สารที่ได้จากพืช เช่น ครั่ง กัม เรซิน น้ำเลี้ยงพืช (แซป) และสารสกัดจากพืชชนิดอื่น ๆ
-
14 วัตถุดิบจากพืชที่ใช้ในงานจักสาน และผลิตผลจากพืชที่ไม่สามารถจัดรวมไว้ในกลุ่มอื่น
- 15 กลุ่มผลิตภัณฑ์ไขมันและน้ำมันที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ เช่น สัตว์หรือพืช รวมถึงไขมันที่ผ่านการปรุงแต่งให้บริโภคได้ และผลิตภัณฑ์ที่สกัดหรือแยกออกจากไขหรือมันเหล่านั้น
- 16 ผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งโดยใช้เนื้อสัตว์ ปลา หรือสัตว์น้ำจำพวกครัสตาเซีย โมลลุสก์ และสัตว์น้ำที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
- 17 ขนมหวานและของกินเล่นที่ผลิตจากน้ำตาล รวมถึงชูการ์คอนแฟกชันเนอรีทุกชนิด
- 18 สารสกัดหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของโกโก้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของผง ของหวาน หรือของว่าง
- 19 ผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้วัตถุดิบจากธัญพืช แป้ง สตาร์ช หรือนม ซึ่งรวมถึงเบเกอรี่และเพสทรี
- 20 อาหารปรุงแต่งซึ่งมีส่วนประกอบจากพืชผัก ผลไม้ ลูกนัต หรือส่วนอื่นของพืชที่นำมาดัดแปลงเป็นอาหาร
- 21 ผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ จากพืชที่ไม่สามารถจัดให้อยู่ในหมวดหลักได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับพืชเป็นหลัก
- 22 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทต่าง ๆ รวมถึงน้ำส้มสายชูที่ผลิตจากการหมัก
- 23 เศษวัสดุและของเหลือที่ได้จากกระบวนการผลิตอาหาร ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์
- 24 ยาสูบชนิดต่าง ๆ และสินค้าที่ออกแบบมาเพื่อใช้แทนการบริโภคยาสูบโดยตรง
- 28 สารเคมีอนินทรีย์และสารประกอบประเภทอนินทรีย์ รวมถึงสารของโลหะมีค่า โลหะแรร์เอิร์ท ธาตุกัมมันตรังสี และไอโซโทป
- 29 สารอินทรีย์เคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ครอบคลุมวัตถุดิบพื้นฐานสำหรับการผลิตสารเคมีอื่น
- 30 ยาและเวชภัณฑ์สำหรับการรักษาหรือป้องกันโรค รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมทุกชนิด
- 31 ปุ๋ยทุกประเภท ทั้งที่ใช้ในการเกษตรกรรมทั่วไปและสูตรเฉพาะสำหรับพืชเฉพาะชนิด
- 32 วัตถุเคมีที่ใช้ในกระบวนการฟอกหนังและย้อมสี เช่น แทนนิน สีผสม สีย้อม สีทา หมึก และผลิตภัณฑ์เคลือบพื้นผิว
- 33 น้ำมันหอมระเหย สารแต่งกลิ่น รวมถึงเครื่องหอม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลร่างกายและความงาม
- 34 สบู่ สารลดแรงตึงผิว วัสดุซักล้าง น้ำยาหล่อลื่น ไขเทียม สารขัดเงา เทียน และผลิตภัณฑ์ขัดถู รวมถึงวัสดุทันตกรรมที่มีส่วนประกอบจากปลาสเตอร์
- 35 สารประเภทโปรตีน (แอลบูมินอยด์) แป้งดัดแปร (Modified starch) กาว และเอนไซม์ที่ใช้ในกระบวนการทางอุตสาหกรรม
- 36 วัตถุไวไฟ เช่น ดินปืน ดอกไม้ไฟ ไม้ขีดไฟ และสารผสมที่ติดไฟง่ายซึ่งใช้ในงานเฉพาะทาง
- 37 อุปกรณ์และวัสดุสำหรับการถ่ายภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว เช่น ฟิล์ม น้ำยา และสารเคมีเฉพาะ
- 38 สารเคมีชนิดพิเศษหรือเบ็ดเตล็ดที่ไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดโดยเฉพาะ
- 39 วัสดุสังเคราะห์ประเภทพลาสติก และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วน วัสดุบรรจุภัณฑ์ หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน
- 40 ยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ รวมถึงของใช้หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยาง เช่น อะไหล่ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม หรือของใช้ทั่วไปที่มีส่วนประกอบหลักเป็นยาง
- 41 หนังดิบที่ยังไม่ผ่านกระบวนการตกแต่ง (ไม่รวมขนสัตว์หรือเฟอร์) และหนังที่ผ่านการฟอกเพื่อเตรียมไว้ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง
- 42 ผลิตภัณฑ์จากหนังสำเร็จรูป เช่น เครื่องใช้จากเครื่องหนัง เครื่องอาน ชุดเทียมลาก กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ รวมถึงของใช้ที่ผลิตจากไส้สัตว์ (ยกเว้นไส้ไหม)
- 43 หนังสัตว์ที่ยังมีขนติดอยู่ (เฟอร์) ทั้งของแท้และสังเคราะห์ รวมถึงสินค้าที่ทำขึ้นจากเฟอร์หรือเฟอร์เทียมในรูปแบบต่าง ๆ
- 44 วัสดุไม้และของใช้ที่ผลิตจากไม้ รวมถึงถ่านไม้ซึ่งได้จากการเผาไม้ในกระบวนการควบคุม
- 45 ไม้ก๊อกทั้งในรูปวัตถุดิบและในรูปแบบของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่แปรรูปจากไม้ก๊อก เช่น แผ่น ปลั๊ก หรือของใช้ทั่วไป
- 46 สิ่งของที่ทำจากฟาง เอสพาร์โต หรือวัสดุสำหรับงานสานอื่น ๆ ครอบคลุมเครื่องจักสาน เครื่องสาน และผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดประเภทถักทอจากเส้นใยธรรมชาติ
- 47 เยื่อไม้และเยื่อจากเส้นใยเซลลูโลสชนิดอื่น รวมถึงเศษกระดาษและของเหลือใช้ที่ไม่สามารถนำไปใช้งานได้อีก
- 48 ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากกระดาษหรือกระดาษแข็ง เช่น ของใช้ที่แปรรูปจากเยื่อกระดาษ กระดาษแผ่น และภาชนะจากกระดาษ
- 49 สิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่ม หนังสือพิมพ์ รูปภาพ งานพิมพ์เชิงพาณิชย์ ต้นฉบับที่เขียนหรือพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด และแบบแปลนทางเทคนิค
- 50 ไหม ซึ่งได้จากการผลิตจากเส้นใยไหมของแมลง
- 51 ขนสัตว์ชนิดต่าง ๆ รวมถึงขนแกะ ขนละเอียดหรือขนหยาบจากสัตว์ต่าง ๆ ด้ายขนม้า และผ้าทอจากขนสัตว์
- 52 ฝ้าย ซึ่งเป็นเส้นใยธรรมชาติที่ได้จากพืชฝ้าย ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
- 53 เส้นใยจากพืชชนิดอื่น ๆ รวมถึงด้ายกระดาษและผ้าทอที่ผลิตจากเส้นใยกระดาษ
- 54 ใยประดิษฐ์ที่มีลักษณะยาว ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและการผลิตวัสดุ
- 55 เส้นใยประดิษฐ์ที่มีลักษณะสั้น ใช้ในกระบวนการผลิตเส้นใยหรือสิ่งทอที่ต้องการความละเอียด
- 56 วัสดุสิ่งทอที่มีการผลิตพิเศษ เช่น แวดดิ้ง สักหลาด ผ้าไม่ทอ ด้ายชนิดพิเศษ เชือกทไวน์ เชือกคอร์เดจ และเคเบิล รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุดังกล่าว
- 57 พรมและสิ่งทอที่ใช้ปูพื้น เช่น พรมทอมือและวัสดุทอพื้นอื่น ๆ
- 58 ผ้าทอชนิดพิเศษ รวมถึงผ้าปูแบบทัฟต์ ผ้าลูกไม้ ผ้าเทเพสทรี และผ้าที่ใช้ตกแต่ง ตลอดจนผ้าที่มีการปักลวดลาย
- 59 ผ้าสิ่งทอที่ผ่านกระบวนการเคลือบ อาบซึม หรือหุ้มสารเคมี รวมถึงวัสดุที่เหมาะสำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม
- 60 ผ้าถักด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น ผ้าถักแบบนิตและแบบโครเชต์
- 61 เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเครื่องแต่งกายซึ่งถักด้วยเทคนิคต่าง ๆ เช่น แบบนิตและโครเชต์
- 62 เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเครื่องแต่งกายซึ่งไม่ได้ถักด้วยเทคนิคแบบนิตหรือโครเชต์
- 63 ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสิ่งทอและใช้แล้ว เช่น ชุดเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ผ้าขี้ริ้ว และของใช้จากสิ่งทอที่จัดทำเรียบร้อยแล้ว
- 64 รองเท้าและสนับแข้ง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายกัน รวมถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิต
- 65 เครื่องสวมศีรษะและส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตหรือตกแต่งเครื่องสวมศีรษะ เช่น หมวก และอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง
- 66 ร่มและอุปกรณ์กันแดด รวมถึงไม้เท้า, ไม้เท้าที่สามารถใช้เป็นที่นั่งได้, แส้ (วิป), แส้ขี่ม้า และส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน
- 67 ขนจากสัตว์ปีกทั้งขนแข็งและขนอ่อนที่ได้รับการเตรียมแล้ว รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากขนสัตว์ปีก ดอกไม้เทียม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากผมคน
- 68 สิ่งของที่ผลิตจากวัสดุประเภทหิน ปูนปลาสเตอร์ ซีเมนต์ แอสเบสตอส ไมกา หรือวัสดุอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
- 69 ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเซรามิกในรูปแบบต่าง ๆ
- 70 แก้วและของใช้ที่ทำจากแก้วในลักษณะต่าง ๆ
- 71 ไข่มุกทั้งจากธรรมชาติและการเพาะเลี้ยง อัญมณีหรือกึ่งอัญมณี โลหะมีค่า รวมถึงโลหะทั่วไปที่ชุบหรือหุ้มด้วยโลหะมีค่า ตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับแท้ เครื่องประดับเทียม และเหรียญกษาปณ์
- 72 เหล็กและเหล็กกล้าในรูปแบบต่าง ๆ
- 73 ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นจากเหล็กหรือเหล็กกล้า
- 74 ทองแดง รวมถึงสิ่งของที่ผลิตจากทองแดง
- 75 นิกเกิล และผลิตภัณฑ์ที่มีนิกเกิลเป็นวัสดุหลัก
- 76 อะลูมิเนียม พร้อมทั้งของใช้หรือสิ่งของที่ผลิตจากอะลูมิเนียม
- 78 ตะกั่ว และของที่ทำขึ้นจากตะกั่ว
- 79 สังกะสี รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสังกะสี
- 80 ดีบุก และสิ่งของที่ผลิตจากดีบุก
- 81 โลหะทั่วไปประเภทอื่น ๆ รวมถึงเซอร์เมต และผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุเหล่านี้
- 82 เครื่องมือ เครื่องใช้ ของมีคม ช้อน ส้อม รวมถึงชิ้นส่วนที่ทำจากโลหะสามัญ
- 83 ของใช้เบ็ดเตล็ดซึ่งทำจากโลหะทั่วไป
- 84 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์, บอยเลอร์, เครื่องจักร, อุปกรณ์กลไก และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องดังกล่าว
- 85 เครื่องจักรไฟฟ้า, อุปกรณ์ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนของเครื่องจักร, เครื่องบันทึกเสียง, เครื่องถอดเสียง, รวมถึงเครื่องบันทึกและถอดเสียงและภาพทางโทรทัศน์ พร้อมทั้งส่วนประกอบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องเหล่านี้
- 86 เครื่องยนต์หัวลากสำหรับรถไฟหรือรถราง, ยานพาหนะที่วิ่งบนราง รวมถึงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง, สิ่งติดตั้งถาวรและอุปกรณ์สำหรับระบบราง, ตลอดจนเครื่องมือกลและเครื่องกลไฟฟ้าที่ใช้ในการควบคุมและสื่อสารสัญญาณการจราจรทุกรูปแบบ
- 87 ยานพาหนะทางบกที่ไม่รวมถึงยานที่วิ่งบนราง พร้อมด้วยชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง
- 88 อากาศยานและยานสำรวจอวกาศ ตลอดจนส่วนประกอบต่าง ๆ ของยานเหล่านี้
- 89 เรือประเภทต่าง ๆ รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่สามารถลอยน้ำได้
- 90 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในด้านแสงและทัศนศาสตร์ การถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว การวัดผล การตรวจสอบความแม่นยำ ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์และศัลยกรรม พร้อมทั้งชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมที่เกี่ยวข้อง
- 91 นาฬิกาแบบตั้งโต๊ะ แขวนผนัง (คล็อก) และแบบข้อมือหรือพกพา (วอตซ์) รวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ของนาฬิกาประเภทเหล่านี้
- 92 เครื่องดนตรีทุกชนิด รวมไปถึงส่วนประกอบและอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับเครื่องดนตรี
- 93 อาวุธปืน อาวุธประเภทอื่น ๆ พร้อมด้วยกระสุน ชิ้นส่วนต่าง ๆ และอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับอาวุธเหล่านั้น
- 94 เฟอร์นิเจอร์ประเภทต่างๆ เช่น เตียง เบาะ ฟูก ฐานรองฟูก รวมถึงของตกแต่งภายในที่มีการบรรจุวัสดุภายใน เช่น เบาะนุ่ม โซฟา และของที่มีลักษณะคล้ายกัน ตลอดจนโคมไฟและอุปกรณ์ให้แสงสว่างซึ่งไม่จัดอยู่ในหมวดอื่น รวมทั้งป้ายชื่อหรือสัญลักษณ์ที่มีแสง และอาคารที่ผลิตสำเร็จรูป
- 95 ของเล่นและอุปกรณ์สำหรับเล่นเกม รวมถึงเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเล่นกีฬา พร้อมทั้งส่วนประกอบต่างๆ ที่ใช้ร่วมกัน
- 96 สินค้าทั่วไปประเภทเบ็ดเตล็ด ซึ่งไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่จำเพาะอื่นๆ ได้
- 97 ผลงานศิลปะ, สิ่งของที่นักสะสมรวบรวมไว้, รวมถึงวัตถุโบราณต่าง ๆ
เป็นชุดข้อมูลที่จัดทำขึ้นใหม่ โดยแบ่งรายการออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
-
วัตถุดิบ จำนวน 508 รายการ
-
สินค้ากึ่งสำเร็จรูป จำนวน 2,124 รายการ
-
ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป จำนวน 2,754 รายการ
แต่ละกลุ่มมีการประเมินอัตราอากรนำเข้าในช่วงที่แตกต่างกัน โดยประมาณดังนี้
-
วัตถุดิบ: อากรอยู่ในช่วง 0 – 1%
-
สินค้ากึ่งสำเร็จรูป: อากรประมาณ 3 – 5%
-
ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป: อัตราอากรอยู่ระหว่าง 10 – 40%
การระบุรหัสพิกัดสินค้าและหา พิกัดศุลกากร อย่างถูกต้อง
“ปัจจุบัน ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบพิกัดศุลกากรได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของกรมศุลกากรในส่วนของการ ค้นหาพิกัดสินค้า ระบบ Tariff e-Service หรือผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือที่ชื่อว่า ‘HS Check’ ซึ่งพร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งบน Google Play และ App Store“
พิกัดศุลกากร การนำเข้า
ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว “พิกัดศุลกากร” ได้กลายเป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญของระบบโลจิสติกส์และการบริหารจัดการการนำเข้าสินค้า พิกัดศุลกากรไม่ใช่แค่ตัวเลข 8 หรือ 11 หลักเท่านั้น หากแต่เป็นรหัสที่แฝงไว้ด้วยข้อมูลด้านภาษี มาตรฐานสินค้า และกฎระเบียบเฉพาะของแต่ละประเทศ
สิ่งสำคัญ พิกัดศุลกากร กับนำเข้าสินค้า
หลายคนอาจเข้าใจว่าพิกัดศุลกากรมีไว้เพื่อคำนวณภาษีนำเข้าเพียงอย่างเดียว แต่อันที่จริงแล้ว รหัสนี้ยังมีผลต่อหลายปัจจัย เช่น
-
การใช้สิทธิพิเศษทางการค้า เช่น ข้อตกลง FTA หรือ RCEP หากพิกัดศุลกากรไม่ตรงตามรายการในความตกลง ก็อาจเสียสิทธิทางภาษีได้
-
ข้อกำหนดพิเศษ บางสินค้าต้องมีใบอนุญาตนำเข้า (เช่น เครื่องมือแพทย์ หรือสารเคมี) ซึ่งจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในพิกัด
-
การตรวจสอบย้อนกลับ เจ้าหน้าที่สามารถติดตามแหล่งที่มาหรือประเภทสินค้าได้จากพิกัดนี้ หากมีกรณีการละเมิดหรือข้อพิพาททางการค้า
แนวทางการจัดพิกัดศุลกากรสำหรับการนำเข้า
- ศึกษารายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน สินค้านั้นใช้ทำอะไร ผลิตจากวัสดุอะไร หรือ ใช้เทคโนโลยีอะไรบ้างในการผลิต
- ค้นหารหัส HS เบื้องต้น ใช้เว็บไซต์ของกรมศุลกากร หรือระบบ HS Lookup ที่จัดให้มีการค้นหาพิกัดออนไลน์
- ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ บริษัทโลจิสติกส์ หรือบริษัทตัวแทนออกของ (Customs Broker) สามารถช่วยตรวจสอบพิกัดเบื้องต้นได้
- ขอวินิจฉัยล่วงหน้า (Binding Tariff Classification) หากไม่แน่ใจ ให้ยื่นขอความเห็นอย่างเป็นทางการจากกรมศุลกากร เพื่อรับรองพิกัดก่อนการนำเข้า
ตัวอย่างกรณีศึกษา การนำเข้า “เครื่องกรองอากาศ” สินค้า เครื่องกรองอากาศขนาดเล็ก ใช้ในบ้าน
-
หากระบุเป็น “เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป” อาจถูกจัดเก็บภาษีในอัตราสูง
-
แต่ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็น “เครื่องมือเพื่อสุขภาพ” อาจอยู่ในกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีนำเข้า
พิกัดศุลกากรที่ใกล้เคียงกันอาจมีผลต่อภาษีต่างกันถึง 10-20%
พิกัดศุลกากร การส่งออก
พิกัดศุลกากรในการส่งออก คือระบบการจัดหมวดหมู่สินค้าเพื่อใช้ในการระบุประเภทสินค้าอย่างเป็นทางการ รหัสที่เลือกใช้ต้องแม่นยำ เพราะจะถูกส่งผ่านระบบศุลกากรไปยังปลายทาง ซึ่งประเทศผู้นำเข้าจะใช้รหัสนี้ในการกำหนดภาษีนำเข้า มาตรการกีดกันทางการค้า หรือแม้แต่การยกเว้นภาษีตามความตกลงระหว่างประเทศ
สิ่งสำคัญ พิกัดศุลกากร กับการส่งออกสินค้า
-
กำหนดอัตราภาษีปลายทาง หากระบุพิกัดไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้นำเข้าถูกเรียกเก็บภาษีมากกว่าความเป็นจริง และส่งผลกระทบต่อราคาขายในประเทศปลายทาง
-
ใช้ในการขอสิทธิพิเศษทางภาษี หลายประเทศให้สิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าแก่สินค้าที่มาจากไทย ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) แต่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อพิกัดศุลกากรตรงกับที่ระบุในเงื่อนไข
-
ความรวดเร็วในการผ่านพิธีการศุลกากร รหัสที่ถูกต้องช่วยให้การตรวจปล่อยสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น และลดความเสี่ยงในการถูกสุ่มตรวจซ้ำ
แนวทางการจัด พิกัดศุลกากร สำหรับการส่งออก
-
วิเคราะห์สินค้า เริ่มจากการระบุลักษณะเฉพาะของสินค้า เช่น ส่วนประกอบ วิธีผลิต การใช้งาน
-
เทียบกับพิกัดมาตรฐานสากล ใช้ตาราง HS Code ที่อ้างอิงตามมาตรฐาน WCO ร่วมกับประกาศของกรมศุลกากรไทย
-
ตรวจสอบข้อกำหนดพิเศษของประเทศปลายทาง เช่น สินค้าบางประเภทอาจถูกจำกัด หรือต้องผ่านการรับรองก่อนเข้าประเทศ
-
ขอรับรองจากกรมศุลกากร (Binding Ruling) สำหรับสินค้าที่จัดพิกัดได้ยาก ผู้ส่งออกสามารถยื่นคำร้องเพื่อให้กรมศุลกากรช่วยวินิจฉัยพิกัดล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ
ตัวอย่างกรณีศึกษา การส่งออก “สบู่สมุนไพรไทย” สบู่สมุนไพรอาจดูเป็นสินค้าง่าย ๆ แต่การจัดพิกัดต้องพิจารณาว่า
-
เป็นสบู่เพื่อความงามหรือเพื่อการแพทย์?
-
มีส่วนผสมหลักจากพืชหรือสารสังเคราะห์?
-
ใช้ในบ้านหรือเพื่อสปาเชิงพาณิชย์?
การเลือก HS Code จึงต้องใช้ข้อมูลที่ละเอียด เพื่อให้ส่งออกได้อย่างถูกต้อง และลูกค้าในต่างประเทศไม่ต้องรับภาระภาษีเกินจริง
หากคุณต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการ คำนวณภาษีอากรขาเข้าและขาออก สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ บทความ ศุลกากร คือ ด่านแรกของการค้าระหว่างประเทศ มีหน้าที่อะไรบ้าง?
สรุป การจัดพิกัดศุลกากรไม่ใช่เรื่องของระบบราชการเท่านั้น แต่เป็น “กลยุทธ์” ทางธุรกิจที่ส่งผลต่อต้นทุน การบริหารเวลา และความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้าระหว่างประเทศ ผู้ประกอบการนำเข้าที่เข้าใจระบบพิกัดศุลกากรอย่างถ่องแท้ จะสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาดโลก
ข้อมูลบางส่วนในบทความนี้ได้มาจากเว็บไซต์ของกรมศุลกากร (www.customs.go.th) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของศุลกากร รวมถึงกฎระเบียบและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า
โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้
ยูนิตว่าง พร้อมให้เช่า คลิ๊กดูโครงการได้ที่นี่
ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทองหรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse
Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219 Telephone : 0-2394-5409
LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq


บทความแนะนำ
Reverse Logistics กลไกคืนสินค้าที่พลิกต้นทุนให้เป็นรายได้ คืออะไร?
อ่านเนื้อหาพ.ย.
ธุรกิจยุคใหม่ต้องรู้! 3PL คือ อะไร ทำไมถึงช่วยลดต้นทุนได้จริง
อ่านเนื้อหาต.ค.
สรุปความหมายของ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ฉบับเข้าใจง่าย
อ่านเนื้อหาต.ค.
ขนส่ง ระหว่าง ประเทศ 2025 รวมบริษัทชั้นนำ พร้อมเปรียบเทียบราคาและบริการ
อ่านเนื้อหาก.ย.
เจาะลึก! การขนส่งมีกี่ประเภท แต่ละแบบมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง?
อ่านเนื้อหาก.ค.
คลีนรูม คืออะไร? มีกี่ประเภท และทำไมถึงสำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคใหม่
อ่านเนื้อหามิ.ย.