การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) หรือ (SCM) คือ กระบวนการบูรณาการตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบ ผ่านการแปรสภาพและผลิตสินค้า ไปจนถึงการจัดเก็บ ขนส่ง และส่งมอบถึงมือผู้บริโภค โดยแต่ละลิงก์ของห่วงโซ่เชื่อมโยงอย่างเรียลไทม์และถูกสนับสนุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT, ระบบคลาวด์ และแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้สามารถปรับตัวได้เร็ว ลดต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่น และส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ การจัดการที่ดีไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ “ส่งถึงมือผู้บริโภค” แต่รวมถึงการมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างต่อเนื่อง
1. Supply Chain Management คืออะไร? ถ้ามองจากสายตาของลูกค้าแทนผู้ผลิต
2. การจัดการห่วงโซ่อุปทานยุคดิจิทัล ประโยชน์เชิงกลยุทธ์ขององค์กรไทย
3. ซัพพลายเชนพัง ผลกระทบที่ธุรกิจหนีไม่พ้น จะส่งผลเสียอย่างไร
4. องค์ประกอบฟันเฟืองที่สำคัญ ในระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทาน
5. การจัดการของห่วงโซ่อุปทาน 5 กระบวนการ ที่ธุรกิจต้องรู้
Supply Chain Management คืออะไร? ถ้ามองจากสายตาของลูกค้าแทนผู้ผลิต
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain Management (SCM) คือศิลปะและวิทยาการในการวางระบบและการควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การจัดหา การผลิต การจัดส่ง จนถึงมือผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อให้ทรัพยากรทั้ง คน วัตถุดิบ ข้อมูล และเงินทุน เคลื่อนที่ร่วมกันอย่างราบรื่น ซึ่งมุ่งเน้นการกำจัดความสูญเสียทั้ง 7 ประการ (7 Wastes) และลดต้นทุนรวมของธุรกิจ กระบวนการหลัก ได้แก่
- จัดหาวัตถุดิบ (Procurement)
- ผลิตสินค้า (Manufacturing)
- จัดเก็บสินค้า (Storage/Warehousing)
- ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล
- จัดจำหน่ายและขนส่ง (Distribution/Transportation) ไปยังผู้บริโภค
ทั้งหมดนี้จะเชื่อมโยงกันผ่านข้อมูล-การสื่อสารภายในองค์กรและระหว่างคู่ค้า เพื่อให้มีกระบวนการที่ราบรื่นและมุ่งตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าในท้ายที่สุด
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ยุคดิจิทัล ประโยชน์เชิงกลยุทธ์ขององค์กรไทย
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการจัดซื้อ การผลิต และการกระจายสินค้า เมื่อทุกขั้นตอนทำงานสอดประสานกัน จะช่วยลดต้นทุน ลดความล่าช้า และเพิ่มคุณภาพการบริการลูกค้า นอกจากนี้ ข้อมูลจากห่วงโซ่อุปทานยังช่วยให้ธุรกิจวางแผนล่วงหน้า ปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้รวดเร็ว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ซึ่งประโยชน์จะมี ดังนี้
1. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดต้นทุนแบบรอบด้าน
การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนได้อย่างมาก เพราะเมื่อธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมของทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ การขนส่ง จนถึงการส่งมอบลูกค้า ก็สามารถระบุและกำจัด “ขั้นตอนที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า” (non-value-adding activities) ได้ เช่น สินค้าคงคลังเกิน ความล่าช้าในการส่งมอบ หรือการผลิตซ้ำซ้อน ด้วยการดำเนินงานให้คล่องตัวขึ้น ธุรกิจจึงมีต้นทุนแฝง (hidden costs) ลดลง ต้นทุนการผลิตและการจัดเก็บลดต่ำลง อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่าแต่ละขั้นตอนมีต้นทุนเท่าใด เพื่อให้ปรับลดหรือละเว้นขั้นตอนที่ไม่จำเป็นได้อย่างเหมาะสม
2. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า
เมื่อธุรกิจมีซัพพลายเชนที่บริหารจัดการได้ดี ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ จนถึงการส่งมอบสินค้า จะช่วยให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่รวดเร็ว มีคุณภาพ และตรงตามความคาดหวัง ในยุคที่ลูกค้าต้องการความรวดเร็วและความโปร่งใส เช่น การติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์ ซัพพลายเชนที่ลื่นไหลจะสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งการนำเทคโนโลยี เช่น ระบบจัดการคลังสินค้า IoT และ AI เข้ามาใช้ ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดข้อผิดพลาด และเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้แข็งแกร่ง ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น
3. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล
การบริหารระบบภายในองค์กรให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของการจัดการซัพพลายเชน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้องค์กรเคลื่อนตัวได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ยังช่วยให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้มากกว่าคู่แข่งหลายราย ในยุคนี้หลายองค์กรเริ่มนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วย เพื่อยกระดับการบริหารจัดการซัพพลายเชนให้คล่องตัว ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ไว ลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็ว และเสริมศักยภาพในการแข่งขัน.
4. เพื่อ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ด้วยระบบขั้นตอนชัดเจน
หากองค์กรบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกขั้นตอนตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ ไปจนถึงการขนส่งจะดำเนินไปอย่างเป็นระบบและโปร่งใส พนักงานเข้าใจบทบาทของตนได้ชัด ลดความซ้ำซ้อนระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ผู้บริหารสามารถตรวจพบปัญหาและแก้ไขได้รวดเร็ว แม้เป็นเพียงจุดเล็กน้อย ช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเพิ่มความคล่องตัวโดยรวม การจัดการที่มีมาตรฐานยังเสริมความน่าเชื่อถือกับคู่ค้าและลูกค้า พร้อมเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิผล
ซัพพลายเชนพัง ผลกระทบที่ธุรกิจหนีไม่พ้น จะส่งผลเสียอย่างไร
เมื่อใดที่ธุรกิจขาดการจัดการที่ดีในห่วงโซ่อุปทาน หนึ่งในกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งเกิดความล่าช้าหรือข้อมูลไม่สมบูรณ์ ก็จะกระทบต่อทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่งผลให้การส่งมอบสินค้าดีเลย์ ต้นทุนเสียโอกาสเพิ่มขึ้น และหากไม่มีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ข้อมูลสำคัญอาจตกหล่น ส่งผลให้การวิเคราะห์และพยากรณ์ความต้องการผลิตหรือจัดส่งคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งท้ายที่สุดคือการเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
องค์ประกอบฟันเฟืองที่สำคัญ ในระบบ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน หมายถึงกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อให้การส่งมอบสินค้าหรือบริการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความพึงพอใจสูงสุด โดยสามารถจำแนกองค์ประกอบหลักออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. Upstream Supply Chain
ซึ่งคือ ช่วงต้นของระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มุ่งเน้นการจัดหาและคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบคุณภาพก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตหลัก ภาคส่วนนี้จะเชื่อมโยงกับผู้จำหน่ายหรือพันธมิตรทางธุรกิจที่มีบทบาทในการส่งมอบทรัพยากรสำคัญให้กับผู้ผลิต เพื่อให้ขั้นตอนต่อไปสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และรักษามาตรฐานของสินค้าได้อย่างสม่ำเสมอ
2. Internal Supply Chain
คือ ห่วงโซ่อุปทานภายในขององค์กร (Internal Supply Chain) หมายถึงชุดกิจกรรมภายในโรงงานหรือสายผลิตที่เริ่มจากการนำปัจจัยการผลิตเข้ามา (Input) ผ่านกระบวนการแปรสภาพผลิต (Manufacturing) ไปจนถึงการส่งมอบสินค้าและบริการ (Output) โดยมีผู้ผลิตเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์กรให้เป็นระบบเดียวกัน
3. Downstream Supply Chain
หมายถึงช่วงของห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มขึ้นหลังจากการผลิต และครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่นำสินค้าหรือบริการออกจากผู้ผลิตถึงมือลูกค้าปลายทาง โดยจะมีการไหลของ 4 กระแสหลัก
- กระแสผลิตภัณฑ์ (Product Flow) จากวัตถุดิบไปยังผู้บริโภค
- กระแสกลับคืน (Reverse Flow) เช่น การนำชิ้นส่วนกลับไปใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล
- กระแสเงิน (Cash Flow) ที่ไหลจากลูกค้าผู้ซื้อไปยังผู้ผลิตผ่านตัวกลางต่าง ๆ
- กระแสสารสนเทศ (Information Flow) ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารที่หมุนเวียนในทุกขั้นตอน ทำให้สามารถมองเห็นและจัดการห่วงโซ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน 5 กระบวนการ ที่ธุรกิจต้องรู้
การบริหารห่วงโซ่อุปทานคือกระบวนการจัดการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้ถึงมือลูกค้า โดยแต่ละขั้นตอนล้วนมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างฝ่ายต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนด้านการผลิตและการขนส่ง พร้อมเพิ่มความพึงพอใจให้กับทั้งองค์กรและลูกค้า กระบวนการหลักของการบริหารห่วงโซ่อุปทานแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนสำคัญต่อไปนี้
1. การวางแผน (Planning)
การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) เริ่มจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การจัดหาสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและศักยภาพการผลิต องค์กรต้องคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้า ประเมินวัตถุดิบ กำลังการผลิต เครื่องจักร และบุคลากร เพื่อจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ลดการขาดแคลนหรือผลิตเกิน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
2. การจัดหา (Sourcing)
การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ที่มีประสิทธิภาพเริ่มจากความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับซัพพลายเออร์ในขั้นตอนการจัดหา ซึ่งรวมถึงการทำงานกับผู้ขายเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่เหมาะสมสำหรับการผลิต โดยบริษัทควรวางแผนล่วงหน้าและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ แม้ว่าแต่ละอุตสาหกรรมจะมีเงื่อนไขเฉพาะของตนเอง แต่โดยทั่วไปแล้วการจัดหาใน SCM จะต้องมั่นใจว่า
- วัตถุดิบตรงตามมาตรฐานการผลิต
- ราคาสอดคล้องกับสภาพตลาด
- ผู้ขายสามารถปรับตัวส่งมอบได้ในกรณีฉุกเฉิน
- ผู้ขายมีประวัติการส่งมอบตรงเวลาและคุณภาพดี
ความสำคัญของการจัดการห่วงโซ่อุปทานยิ่งชัดเจนขึ้นในสินค้าที่มีความเน่าเสียง่าย เพราะจำเป็นต้องพิจารณาระยะเวลารอสินค้า การจัดเก็บ และความสามารถของซัพพลายเออร์ในการตอบสนองความต้องการได้อย่างทันการณ์
3. การผลิต (Manufacturing)
กระบวนการผลิตเป็นหัวใจของธุรกิจทุกประเภท เพราะขั้นตอนนี้เกี่ยวพันหลายฝ่ายและมีความซับซ้อน เมื่อมีขั้นตอนใดไม่สมบูรณ์ อาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและหน่วยงานอื่นเสียเวลาทำงาน เพื่อแก้ไข จึงควรนำซอฟต์แวร์มาช่วยติดตามให้กระบวนการเดินหน้าอย่างราบรื่น กระบวนการผลิตยังแบ่งเป็นขั้นย่อย เช่น ประกอบ ทดสอบ ตรวจสอบ และบรรจุ ขณะเดียวกันบริษัทต้องควบคุมของเสียและตัวแปรที่กระทบ เช่น ใช้วัตถุดิบน้อยกว่าที่วางแผนไว้ หรือพนักงานขาดทักษะ ซึ่งทำให้แผนเบี่ยงเบนจาก SCM ได้
4. การจัดส่ง (Delivering and logistics)
การส่งมอบสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ เพราะไม่เพียงสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ผู้ประกอบการจึงควรกำหนดขั้นตอนตรวจสอบและติดตามการขนส่งอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าถึงปลายทางปลอดภัย ตรงเวลา และอยู่ในสภาพสมบูรณ์ นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีหรือระบบบริหารซัพพลายเชน (SCM) ยังช่วยวางแผนเส้นทางและปรับกลยุทธ์การจัดส่งให้เหมาะสม ลดต้นทุนและความผิดพลาดในกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ระบบคืนสินค้า (Returning)
กระบวน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าหรือมีการคืนสินค้าที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเกิดขึ้น และในกรณีดังกล่าว กระบวนการส่งคืน (เรียกว่า “ย้อนกลับ” หรือ reverse logistics) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง บริษัทจึงต้องมั่นใจว่ามีระบบรองรับการรับสินค้าที่ลูกค้าส่งคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขเงินคืนหรือเครดิตได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกคืนผลิตภัณฑ์หรือการจัดการกับความไม่พึงพอใจของลูกค้า ธุรกรรมที่เกิดขึ้นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้บริษัทสามารถรักษาศักยภาพการแข่งขันในระยะยาวได้
สรุป
ในกระบวนการผลิต และการส่งมอบสินค้า หรือบริการ จำเป็นต้องจัดระบบให้แต่ละหน่วยงานทำงานสอดคล้องกัน ตั้งแต่การนำเข้าวัตถุดิบ → การผลิต → การสั่งซื้อ → การจัดส่งถึงลูกค้า โดยมีเป้าหมายหลักคือ “ความพึงพอใจของลูกค้า” และต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ทั้งภายในองค์กร ผู้จัดส่ง และลูกค้าให้เป็นระบบ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพสูงสุด
เหตุผลสำคัญ 6 ประการของการจัดการซัพพลายเชนคือ
-
ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ตรงจุด
-
ลดต้นทุนอย่างเป็นระบบ
-
สร้างความร่วมมือภายในองค์กรและกับคู่ค้า
-
ติดตามกระบวนการทำงานได้อย่างใกล้ชิด
-
บริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า
ดังนั้น Supply Chain Management จึงมีบทบาทสำคัญในองค์กร เพราะเป็นกลไกที่ทำให้ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบสินค้า หรือบริการถึงมือลูกค้าเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิผล พร้อมกับรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้
ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทอง
หรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse
Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219 Telephone : 0-2394-5409
LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq


บทความแนะนำ
Reverse Logistics กลไกคืนสินค้าที่พลิกต้นทุนให้เป็นรายได้ คืออะไร?
อ่านเนื้อหาพ.ย.
ธุรกิจยุคใหม่ต้องรู้! 3PL คือ อะไร ทำไมถึงช่วยลดต้นทุนได้จริง
อ่านเนื้อหาต.ค.
สรุปความหมายของ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ฉบับเข้าใจง่าย
อ่านเนื้อหาต.ค.
ขนส่ง ระหว่าง ประเทศ 2025 รวมบริษัทชั้นนำ พร้อมเปรียบเทียบราคาและบริการ
อ่านเนื้อหาก.ย.
เจาะลึก! การขนส่งมีกี่ประเภท แต่ละแบบมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง?
อ่านเนื้อหาก.ค.
คลีนรูม คืออะไร? มีกี่ประเภท และทำไมถึงสำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคใหม่
อ่านเนื้อหามิ.ย.