สรุปความหมายของ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ฉบับเข้าใจง่าย

สรุปความหมายของ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ฉบับเข้าใจง่าย

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) หรือ (SCM) คือ กระบวนการบูรณาการตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบ ผ่านการแปรสภาพและผลิตสินค้า ไปจนถึงการจัดเก็บ ขนส่ง และส่งมอบถึงมือผู้บริโภค โดยแต่ละลิงก์ของห่วงโซ่เชื่อมโยงอย่างเรียลไทม์และถูกสนับสนุนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT, ระบบคลาวด์ และแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้สามารถปรับตัวได้เร็ว ลดต้นทุน เพิ่มความยืดหยุ่น และส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ การจัดการที่ดีไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ “ส่งถึงมือผู้บริโภค” แต่รวมถึงการมอบประสบการณ์ที่มีคุณภาพ เชื่อถือได้ และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

Supply Chain Management คืออะไร? ถ้ามองจากสายตาของลูกค้าแทนผู้ผลิต

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain Management (SCM) คือศิลปะและวิทยาการในการวางระบบและการควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่การจัดหา การผลิต การจัดส่ง จนถึงมือผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อให้ทรัพยากรทั้ง คน วัตถุดิบ ข้อมูล และเงินทุน เคลื่อนที่ร่วมกันอย่างราบรื่น ซึ่งมุ่งเน้นการกำจัดความสูญเสียทั้ง 7 ประการ (7 Wastes) และลดต้นทุนรวมของธุรกิจ กระบวนการหลัก ได้แก่

  • จัดหาวัตถุดิบ (Procurement)
  • ผลิตสินค้า (Manufacturing)
  • จัดเก็บสินค้า (Storage/Warehousing)
  • ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล
  • จัดจำหน่ายและขนส่ง (Distribution/Transportation) ไปยังผู้บริโภค

ทั้งหมดนี้จะเชื่อมโยงกันผ่านข้อมูล-การสื่อสารภายในองค์กรและระหว่างคู่ค้า เพื่อให้มีกระบวนการที่ราบรื่นและมุ่งตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าในท้ายที่สุด

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ยุคดิจิทัล ประโยชน์เชิงกลยุทธ์ขององค์กรไทย

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการจัดซื้อ การผลิต และการกระจายสินค้า เมื่อทุกขั้นตอนทำงานสอดประสานกัน จะช่วยลดต้นทุน ลดความล่าช้า และเพิ่มคุณภาพการบริการลูกค้า นอกจากนี้ ข้อมูลจากห่วงโซ่อุปทานยังช่วยให้ธุรกิจวางแผนล่วงหน้า ปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้รวดเร็ว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ซึ่งประโยชน์จะมี ดังนี้

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ยุคดิจิทัล ประโยชน์เชิงกลยุทธ์ขององค์กรไทย

1. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อลดต้นทุนแบบรอบด้าน

การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุนได้อย่างมาก เพราะเมื่อธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมของทุกขั้นตอน  ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ การขนส่ง จนถึงการส่งมอบลูกค้า  ก็สามารถระบุและกำจัด “ขั้นตอนที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่า” (non-value-adding activities) ได้ เช่น สินค้าคงคลังเกิน ความล่าช้าในการส่งมอบ หรือการผลิตซ้ำซ้อน ด้วยการดำเนินงานให้คล่องตัวขึ้น ธุรกิจจึงมีต้นทุนแฝง (hidden costs) ลดลง ต้นทุนการผลิตและการจัดเก็บลดต่ำลง อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่าแต่ละขั้นตอนมีต้นทุนเท่าใด เพื่อให้ปรับลดหรือละเว้นขั้นตอนที่ไม่จำเป็นได้อย่างเหมาะสม

2. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า

เมื่อธุรกิจมีซัพพลายเชนที่บริหารจัดการได้ดี ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ จนถึงการส่งมอบสินค้า จะช่วยให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่รวดเร็ว มีคุณภาพ และตรงตามความคาดหวัง ในยุคที่ลูกค้าต้องการความรวดเร็วและความโปร่งใส เช่น การติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์ ซัพพลายเชนที่ลื่นไหลจะสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งการนำเทคโนโลยี เช่น ระบบจัดการคลังสินค้า IoT และ AI เข้ามาใช้ ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดข้อผิดพลาด และเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้แข็งแกร่ง ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น

3. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล

การบริหารระบบภายในองค์กรให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของการจัดการซัพพลายเชน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้องค์กรเคลื่อนตัวได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ยังช่วยให้มีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้มากกว่าคู่แข่งหลายราย ในยุคนี้หลายองค์กรเริ่มนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วย เพื่อยกระดับการบริหารจัดการซัพพลายเชนให้คล่องตัว ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ไว ลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็ว และเสริมศักยภาพในการแข่งขัน.

4. เพื่อ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ด้วยระบบขั้นตอนชัดเจน

หากองค์กรบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกขั้นตอนตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ ไปจนถึงการขนส่งจะดำเนินไปอย่างเป็นระบบและโปร่งใส พนักงานเข้าใจบทบาทของตนได้ชัด ลดความซ้ำซ้อนระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ขณะเดียวกัน ผู้บริหารสามารถตรวจพบปัญหาและแก้ไขได้รวดเร็ว แม้เป็นเพียงจุดเล็กน้อย ช่วยให้องค์กรปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเพิ่มความคล่องตัวโดยรวม การจัดการที่มีมาตรฐานยังเสริมความน่าเชื่อถือกับคู่ค้าและลูกค้า พร้อมเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิผล

ซัพพลายเชนพัง ผลกระทบที่ธุรกิจหนีไม่พ้น จะส่งผลเสียอย่างไร

ซัพพลายเชนพัง ผลกระทบที่ธุรกิจหนีไม่พ้น จะส่งผลเสียต่อ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน อย่างไร

เมื่อใดที่ธุรกิจขาดการจัดการที่ดีในห่วงโซ่อุปทาน หนึ่งในกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งเกิดความล่าช้าหรือข้อมูลไม่สมบูรณ์ ก็จะกระทบต่อทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ส่งผลให้การส่งมอบสินค้าดีเลย์ ต้นทุนเสียโอกาสเพิ่มขึ้น และหากไม่มีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ข้อมูลสำคัญอาจตกหล่น ส่งผลให้การวิเคราะห์และพยากรณ์ความต้องการผลิตหรือจัดส่งคลาดเคลื่อนได้ ซึ่งท้ายที่สุดคือการเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น

องค์ประกอบฟันเฟืองที่สำคัญ ในระบบ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน หมายถึงกระบวนการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อให้การส่งมอบสินค้าหรือบริการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความพึงพอใจสูงสุด โดยสามารถจำแนกองค์ประกอบหลักออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

องค์ประกอบฟันเฟืองที่สำคัญ ในระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทาน

1. Upstream Supply Chain

ซึ่งคือ ช่วงต้นของระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มุ่งเน้นการจัดหาและคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบคุณภาพก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตหลัก ภาคส่วนนี้จะเชื่อมโยงกับผู้จำหน่ายหรือพันธมิตรทางธุรกิจที่มีบทบาทในการส่งมอบทรัพยากรสำคัญให้กับผู้ผลิต เพื่อให้ขั้นตอนต่อไปสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และรักษามาตรฐานของสินค้าได้อย่างสม่ำเสมอ

2. Internal Supply Chain

คือ ห่วงโซ่อุปทานภายในขององค์กร (Internal Supply Chain) หมายถึงชุดกิจกรรมภายในโรงงานหรือสายผลิตที่เริ่มจากการนำปัจจัยการผลิตเข้ามา (Input) ผ่านกระบวนการแปรสภาพผลิต (Manufacturing) ไปจนถึงการส่งมอบสินค้าและบริการ (Output) โดยมีผู้ผลิตเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์กรให้เป็นระบบเดียวกัน

3. Downstream Supply Chain

หมายถึงช่วงของห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มขึ้นหลังจากการผลิต และครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่นำสินค้าหรือบริการออกจากผู้ผลิตถึงมือลูกค้าปลายทาง โดยจะมีการไหลของ 4 กระแสหลัก

  • กระแสผลิตภัณฑ์ (Product Flow) จากวัตถุดิบไปยังผู้บริโภค
  • กระแสกลับคืน (Reverse Flow) เช่น การนำชิ้นส่วนกลับไปใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล
  • กระแสเงิน (Cash Flow) ที่ไหลจากลูกค้าผู้ซื้อไปยังผู้ผลิตผ่านตัวกลางต่าง ๆ
  • กระแสสารสนเทศ (Information Flow) ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารที่หมุนเวียนในทุกขั้นตอน ทำให้สามารถมองเห็นและจัดการห่วงโซ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน 5 กระบวนการ ที่ธุรกิจต้องรู้

การบริหารห่วงโซ่อุปทานคือกระบวนการจัดการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้ถึงมือลูกค้า โดยแต่ละขั้นตอนล้วนมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างฝ่ายต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนด้านการผลิตและการขนส่ง พร้อมเพิ่มความพึงพอใจให้กับทั้งองค์กรและลูกค้า กระบวนการหลักของการบริหารห่วงโซ่อุปทานแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนสำคัญต่อไปนี้

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน 5 กระบวนการ ที่ธุรกิจต้องรู้

1. การวางแผน (Planning)

การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) เริ่มจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การจัดหาสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและศักยภาพการผลิต องค์กรต้องคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้า ประเมินวัตถุดิบ กำลังการผลิต เครื่องจักร และบุคลากร เพื่อจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม ลดการขาดแคลนหรือผลิตเกิน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด

2. การจัดหา (Sourcing)

การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ที่มีประสิทธิภาพเริ่มจากความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับซัพพลายเออร์ในขั้นตอนการจัดหา ซึ่งรวมถึงการทำงานกับผู้ขายเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่เหมาะสมสำหรับการผลิต โดยบริษัทควรวางแผนล่วงหน้าและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์ แม้ว่าแต่ละอุตสาหกรรมจะมีเงื่อนไขเฉพาะของตนเอง แต่โดยทั่วไปแล้วการจัดหาใน SCM จะต้องมั่นใจว่า

  • วัตถุดิบตรงตามมาตรฐานการผลิต
  • ราคาสอดคล้องกับสภาพตลาด
  • ผู้ขายสามารถปรับตัวส่งมอบได้ในกรณีฉุกเฉิน
  • ผู้ขายมีประวัติการส่งมอบตรงเวลาและคุณภาพดี

ความสำคัญของการจัดการห่วงโซ่อุปทานยิ่งชัดเจนขึ้นในสินค้าที่มีความเน่าเสียง่าย เพราะจำเป็นต้องพิจารณาระยะเวลารอสินค้า การจัดเก็บ และความสามารถของซัพพลายเออร์ในการตอบสนองความต้องการได้อย่างทันการณ์

3. การผลิต (Manufacturing)

กระบวนการผลิตเป็นหัวใจของธุรกิจทุกประเภท เพราะขั้นตอนนี้เกี่ยวพันหลายฝ่ายและมีความซับซ้อน เมื่อมีขั้นตอนใดไม่สมบูรณ์ อาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นและหน่วยงานอื่นเสียเวลาทำงาน เพื่อแก้ไข จึงควรนำซอฟต์แวร์มาช่วยติดตามให้กระบวนการเดินหน้าอย่างราบรื่น กระบวนการผลิตยังแบ่งเป็นขั้นย่อย เช่น ประกอบ ทดสอบ ตรวจสอบ และบรรจุ ขณะเดียวกันบริษัทต้องควบคุมของเสียและตัวแปรที่กระทบ เช่น ใช้วัตถุดิบน้อยกว่าที่วางแผนไว้ หรือพนักงานขาดทักษะ ซึ่งทำให้แผนเบี่ยงเบนจาก SCM ได้

4. การจัดส่ง (Delivering and logistics)

การส่งมอบสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ เพราะไม่เพียงสะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ผู้ประกอบการจึงควรกำหนดขั้นตอนตรวจสอบและติดตามการขนส่งอย่างชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าถึงปลายทางปลอดภัย ตรงเวลา และอยู่ในสภาพสมบูรณ์ นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีหรือระบบบริหารซัพพลายเชน (SCM) ยังช่วยวางแผนเส้นทางและปรับกลยุทธ์การจัดส่งให้เหมาะสม ลดต้นทุนและความผิดพลาดในกระบวนการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ระบบคืนสินค้า (Returning)

กระบวน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าหรือมีการคืนสินค้าที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเกิดขึ้น และในกรณีดังกล่าว กระบวนการส่งคืน (เรียกว่า “ย้อนกลับ” หรือ reverse logistics) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง บริษัทจึงต้องมั่นใจว่ามีระบบรองรับการรับสินค้าที่ลูกค้าส่งคืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขเงินคืนหรือเครดิตได้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกคืนผลิตภัณฑ์หรือการจัดการกับความไม่พึงพอใจของลูกค้า ธุรกรรมที่เกิดขึ้นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้บริษัทสามารถรักษาศักยภาพการแข่งขันในระยะยาวได้

สรุป

ในกระบวนการผลิต และการส่งมอบสินค้า หรือบริการ จำเป็นต้องจัดระบบให้แต่ละหน่วยงานทำงานสอดคล้องกัน ตั้งแต่การนำเข้าวัตถุดิบ → การผลิต → การสั่งซื้อ → การจัดส่งถึงลูกค้า โดยมีเป้าหมายหลักคือ “ความพึงพอใจของลูกค้า” และต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ทั้งภายในองค์กร ผู้จัดส่ง และลูกค้าให้เป็นระบบ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพสูงสุด

เหตุผลสำคัญ 6 ประการของการจัดการซัพพลายเชนคือ

  1. ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ตรงจุด

  2. ลดต้นทุนอย่างเป็นระบบ

  3. สร้างความร่วมมือภายในองค์กรและกับคู่ค้า

  4. ติดตามกระบวนการทำงานได้อย่างใกล้ชิด

  5. บริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  6. ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า

ดังนั้น Supply Chain Management จึงมีบทบาทสำคัญในองค์กร เพราะเป็นกลไกที่ทำให้ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบสินค้า หรือบริการถึงมือลูกค้าเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิผล พร้อมกับรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า


โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้
ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทอง

หรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse

Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219  Telephone : 0-2394-5409

LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq