วิธีคิด สูตรคำนวณพื้นรับน้ำหนัก พื้นคลังสินค้า สำหรับโกดัง โรงงาน

วิธีคิด สูตรคำนวณพื้นรับน้ำหนัก พื้นคลังสินค้า สำหรับโกดัง โรงงาน

การก่อสร้างโกดังหรือโรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้จบแค่โครงสร้างอาคาร แต่ “งานพื้น” คือองค์ประกอบที่กำหนดประสิทธิภาพการใช้งานระยะยาวโดยตรง พื้นที่ต้องรองรับทั้งน้ำหนักสินค้า เครื่องจักร และแรงกดซ้ำจากการขนถ่าย หากออกแบบไม่สอดคล้องกับการใช้งานจริง อาจนำไปสู่การแตกร้าว ทรุดตัว และต้นทุนซ่อมแซมที่สูงเกินจำเป็น ปัจจุบันการออกแบบพื้นวางบนดินจึงอาศัย สูตรคำนวณพื้นรับน้ำหนัก ที่พิจารณาทั้งค่าความสามารถรับแรงของชั้นดิน ความหนาคอนกรีต ลักษณะโหลด และปัจจัยความปลอดภัย เพื่อให้ได้พื้นโรงงานที่ใช้งานได้เต็มศักยภาพ คุ้มค่า และเหมาะกับงบลงทุนของผู้ประกอบการมากที่สุด

พื้นโรงงานและโกดังควรออกแบบกี่รูปแบบ ตามลักษณะการใช้งานจริง

พื้นโรงงานและพื้นโกดังไม่สามารถออกแบบด้วยมาตรฐานเดียวกันได้ทั้งหมด เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีลักษณะการใช้งาน น้ำหนักบรรทุก และรูปแบบการเคลื่อนที่ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การวางสินค้านิ่ง การใช้รถยก ไปจนถึงการติดตั้งเครื่องจักรหนัก การออกแบบพื้นจึงต้องพิจารณาตามภาระที่พื้นต้องรับจริง ดังนี้

สูตรคำนวณพื้นรับน้ำหนัก

พื้นอีพ็อกซี่ (Epoxy Floor)

สำหรับงานอุตสาหกรรม มักถูกเลือกใช้เพราะให้ผิวพื้นที่แข็ง ทนการสึกหรอ ทำความสะอาดง่าย และช่วยลดการสะสมคราบ/ของเหลวในพื้นที่ผลิตอาหารได้ดี (โดยเฉพาะเมื่อเลือกเกรดและระบบเคลือบที่เหมาะกับงาน)

  • เหมาะสำหรับ : โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ห้องแล็บ, หรือโรงงานที่ต้องการความสะอาดสูง

  • จุดเด่น : สวยงาม มีหลายสีให้เลือก ป้องกันฝุ่นละอองได้ 100% ทนทานต่อสารเคมีและน้ำมัน

  • ข้อควรระวัง : ไม่ทนต่อความร้อนสูง ไม่ทนต่อรังสี UV (สีอาจจะเหลืองถ้าโดนแดด) และผิวหน้าอาจลื่นถ้าเปียกน้ำ

โดยรูปแบบที่พบใช้บ่อยแบ่งได้ 3 แนวทางหลักคือ

  • ระบบผิวกันลื่นแบบหลายชั้น เหมาะกับโซนเปียก มีน้ำมัน หรือจุดที่ต้องการแรงเสียดทานสูง

  • ระบบปรับระดับตัวเอง (Self-leveling) ให้ผิวเรียบสม่ำเสมอ เหมาะกับโซนรถโฟล์คลิฟต์ รถเข็น และพื้นที่ควบคุมความสะอาด

  • ผิวลายส้ม (Orange-peel texture) เป็นเท็กซ์เจอร์บาง ๆ เหมาะกับโซนแห้งที่ต้องการดูแลง่ายและลดการเห็นรอยเล็ก ๆ

กระเบื้องยาง (Vinyl / LVT / SPC / Sheet)

เป็นวัสดุปูพื้นที่ให้ผิวสัมผัสเดินสบาย ช่วยลดเสียงและลดความเย็นจากพื้นได้ระดับหนึ่ง เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความนุ่มเท้าและดูแลเปลี่ยนซ่อมเป็นแผ่น ๆ ได้ เช่น โซนฟิตเนส ห้องเรียน สำนักงาน หรือพื้นที่บริการบางประเภท ส่วนงาน กลางแจ้ง ควรเลือกเกรดที่ออกแบบมาเพื่อภายนอกโดยเฉพาะ (ทน UV ทนความชื้นมีระบบระบายน้ำ) เพราะวัสดุยาง หรือไวนิลบางชนิดอาจซีด กรอบ หรือบวมได้เมื่อเจอแดดและน้ำต่อเนื่อง

  • เหมาะสำหรับ : กระเบื้องยางเหมาะกับโรงยิม ฟิตเนส และพื้นที่เดินสัญจรถี่ๆ เพราะช่วยรองรับแรงกระแทก เดินสบาย และลดเสียงรบกวน ส่วนงานกึ่งภายนอกหรือภายนอกสามารถใช้ได้ แต่ต้องเป็นรุ่น Outdoor และเตรียมพื้นให้ระบายน้ำดี ไม่อมความชื้น
  • จุดเด่น : วัสดุช่วยลดแรงกระแทกและเสียงก้าวเท้า ซ่อมเฉพาะจุดได้ง่ายเมื่อชำรุด และสามารถเลือกผิวหน้ากันลื่นได้หลายระดับตามการใช้งาน
  • ข้อควรระวัง : อาจเกิดรอยบุบจากน้ำหนักกดจุดของอุปกรณ์หนัก ต้องเลือกความหนาให้เหมาะสมและเสริมแผ่นรอง พื้นต้องแห้งและกันชื้นได้ดี รวมถึงงานกลางแจ้งควรตรวจสอบสเปกทนแดด ทนฝน และวิธีติดตั้งให้ถูกต้อง

พื้นคอนกรีต (Concrete Floor)

พื้นคอนกรีตเป็นระบบพื้นที่นิยมสูงในงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า เนื่องจากรับน้ำหนักได้มาก แข็งแรง และอายุการใช้งานยาวนาน เหมาะกับพื้นที่ที่มีการใช้งานหนักหรือมีสารเคมีในกระบวนการผลิต

  • เหมาะสำหรับ : โกดังสมัยใหม่ ศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) หรือ โชว์รูม (Showroom)โรงงานที่มีรถโฟล์คลิฟต์หรือรถบรรทุกใช้งานเป็นประจำ รองรับทั้งน้ำหนักจุดและน้ำหนักกระจายได้สูง เหมาะสำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมที่ต้องการพื้นแข็งแรงทนทาน
  • จุดเด่น : รับน้ำหนักได้สูง ผิวแน่นลดฝุ่น ทำความสะอาดง่าย อายุการใช้งานยาว ไม่ต้องเคลือบซ้ำบ่อย และช่วยลดต้นทุนในระยะยาวเมื่อเทียบกับพื้นเคลือบผิวประเภทอื่น
  • ข้อควรระวัง : ต้องออกแบบความหนาและโครงสร้างพื้นให้เหมาะกับโหลดจริง หากบางเกินไปอาจแตกร้าวได้ ผิวอาจลื่นเมื่อเปียกจึงควรเลือกความหยาบที่เหมาะสม และงานขัดที่ไม่ได้มาตรฐานจะทำให้พื้นสึกเร็ว

โดยรูปแบบที่พบใช้บ่อยคือ

  • พื้นคอนกรีตขัดเงา (Polished Concrete Floor) พื้นคอนกรีตขัดเงาเป็นการปรับปรุงผิวหน้าคอนกรีตด้วยการขัดและเสริมความแข็งแรงของผิว ทำให้ได้พื้นผิวเรียบ แน่น และทนต่อแรงกดสูง เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการความแข็งแรงควบคู่กับการดูแลรักษาง่าย อย่าง โกดัง ลานจอดรถบรรทุกนอกอาคาร มีพื้นผิวเรียบสม่ำเสมอ และเป็นเนื้อเดียวกัน

สูตรคำนวณพื้นรับน้ำหนัก โกดัง และ โรงงาน สำคัญอย่างไร

ตามแนวทางที่ใช้งานจริงในประเทศไทย (อ้างอิงหลักวิศวกรรมโครงสร้างและกฎกระทรวงควบคุมอาคาร)
โกดัง คลังสินค้า และโรงงานอุตสาหกรรม ควรออกแบบพื้นให้รับน้ำหนักใช้งาน (Live Load) ไม่น้อยกว่า 500 กก./ตร.ม.
ทั้งนี้ ค่าออกแบบจริงต้องพิจารณา ลักษณะการจัดเก็บ, น้ำหนักเฉพาะจุด (Point Load), และการซ้อนทับ

หลักการคำนวณ

” น้ำหนักรวมทั้งหมด (กก.) ÷ พื้นที่รับน้ำหนักตามจริง (ตร.ม.) = น้ำหนักใช้งานต่อพื้นที่ (กก./ตร.ม.) “

ตัวอย่างคำนวณ (โรงงานสิ่งพิมพ์ – ม้วนกระดาษ)

  • เส้นผ่านศูนย์กลางม้วนกระดาษ = 1.2 ม.
  • น้ำหนักต่อม้วน = 1,200 กก.
  • จำนวนที่วางซ้อน = 5 ม้วน

น้ำหนักรวมทั้งหมด

5 × 1,200 = 6,000 กก.

พื้นที่รับน้ำหนักวางจริงบนพื้น

พื้นที่วางขนาด 1.2 × 1.2 ม.
เท่ากับ 1.44 ตร.ม.

น้ำหนักที่ใช้งานต่อพื้น

6,000 ÷ 1.44 = 4,170 กก./ตร.ม.

แนวทางออกแบบที่เหมาะสม (อัปเดตเชิงวิศวกรรม)

เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานจริง พื้นโรงงานควรออกแบบให้รองรับน้ำหนักได้ ไม่น้อยกว่า 4,500–5,000 กก./ตร.ม.
เพื่อรองรับแรงกระทำจริง ความคลาดเคลื่อนในการจัดวาง และการใช้งานในระยะยาว

สูตรคำนวณพื้นรับน้ำหนัก

สูตรคำนวณพื้นรับน้ำหนัก (กรณีเครื่องจักรหนัก)

ในโรงงานอุตสาหกรรม การติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่ต้องประเมิน น้ำหนักที่ถ่ายลงพื้นต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่จริง เพื่อกำหนดกำลังรับน้ำหนักของพื้นให้เหมาะสมและปลอดภัย

หลักการคำนวณ

” พื้นที่ฐานเครื่อง (ตร.ม.) ÷ น้ำหนักเครื่องจักร (กก.) = น้ำหนักต่อพื้นที่ (กก./ตร.ม.)”

ตัวอย่างการคำนวณ

  • น้ำหนักเครื่องจักร = 20 ตัน (20,000 กก.)
  • ขนาดฐานเครื่อง = กว้าง 2 ม. × ยาว 6 ม.

พื้นที่ฐานเครื่อง

2 × 6 = 12 ตร.ม.

น้ำหนักเครื่องจัก ที่กระทำต่อพื้น

20,000 ÷ 12 = 1,670 กก./ตร.ม.

แนวทางออกแบบพื้นที่เหมาะสม (อัปเดตเชิงความปลอดภัย)

เพื่อรองรับการใช้งานจริงและค่าความไม่แน่นอนในการทำงาน
ควรออกแบบพื้นโรงงานหรือโกดังให้รับน้ำหนัก ไม่น้อยกว่า 2,000 กก./ตร.ม.

กรณีเครื่องจักรมี

  • น้ำหนักสูงมาก
  • แรงสั่นสะเทือนต่อเนื่อง
  • การทำงานแบบไดนามิก

ควรออกแบบ ฐานรากหรือพื้นเฉพาะจุดแยกจากพื้นโรงงานทั่วไป เพื่อลดความเสี่ยงต่อโครงสร้างและเพิ่มความปลอดภัยในระยะยาว

ระบบพื้นวางบนดิน ที่ออกแบบตามลักษณะการใช้งานเฉพาะ

ระบบพื้นวางบนดิน (Slab on Ground) คือ พื้นคอนกรีตที่ถ่ายน้ำหนักลงสู่ดินโดยตรง การออกแบบต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้งานจริง สภาพดิน และงบประมาณ เพื่อให้พื้นแข็งแรง ไม่แตกร้าว และใช้งานได้ยาวนาน พื้นประเภทนี้นิยมใช้ในบ้าน อาคารพาณิชย์ โกดัง และโรงงาน การมีความรู้พื้นฐานช่วยให้เจ้าของโครงการตัดสินใจร่วมกับผู้รับเหมาและวิศวกรได้ถูกต้อง ลดปัญหาการทรุดตัวและค่าใช้จ่ายซ่อมแซมในระยะยาว ปัจจุบันมีการใช้คอนกรีตเสริมเส้นใย วัสดุปรับปรุงดิน และการคำนวณน้ำหนักใช้งานอย่างแม่นยำมากขึ้น เพื่อเพิ่มคุณภาพและความคุ้มค่าของงานพื้น

ระบบพื้นวางบนดิน

โดยภาพรวม พื้นวางบนดิน แบ่งเพื่อเลือกให้เหมาะกับงานได้ ดังนี้

  • พื้นคอนกรีตวางบนดินแบบทั่วไป (Typical slab) เหมาะกับงานพื้นใช้งานทั่วไป เช่น พื้นบ้าน/ลาน/ทางเดิน ที่น้ำหนักบรรทุกไม่สูงมาก โดยเน้นงานเตรียมชั้นดิน–ชั้นรองพื้นให้แน่นและสม่ำเสมอเพื่อลดการทรุดต่างระดับ
  • พื้นแผ่ ฐานรากแผ่ (Raft/Thickened slab)  จุดรับแรงมากขึ้น ลดการแอ่นตัวเฉพาะบริเวณพื้นที่รับกระจายน้ำหนัก ให้กว้างขึ้น เช่น อาคารขนาดเล็กถึงกลาง หรือพื้นที่ดินรับน้ำหนักไม่ดีนัก ช่วยลดความเสี่ยงการทรุดไม่เท่ากัน และเพิ่มความแข็งของระบบพื้น , ฐานราก
  • พื้นวาฟเฟิล/พื้นคานซี่ถี่ใต้แผ่นพื้น (Waffle-type / ribbed) เหมาะเมื่ออยากได้ความแข็งมากขึ้นด้วยโครงคานซี่ใต้พื้น ทำให้รับน้ำหนักและควบคุมการโก่งตัวได้ดีในบางกรณี และมักช่วยประหยัดน้ำหนัก วัสดุเมื่อเทียบกับทำแผ่นทึบหนามากๆ

หวังว่าสูตรและแนวคิดในบทความนี้จะช่วยให้คุณประเมิน น้ำหนักต่อ ตร.ม.ได้ชัดขึ้นก่อนทำพื้นโกดัง โรงงานจริง โดยเฉพาะกรณีโหลดจุดจากเครื่องจักรหรือชั้นวางสินค้า ควรให้วิศวกรตรวจแบบเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ติดตามบทความถัดไป เราจะสรุปเช็กลิสต์การเก็บข้อมูลหน้างานที่ต้องใช้ก่อนคำนวณให้ครบในครั้งเดียวในครั้งถัดไป

นอกจากการคำนวณน้ำหนักพื้นที่เหมาะสมแล้ว เทคนิคการจัดเรียงสินค้าในคลังสินค้าบนแผ่นพาเลท อย่างถูกวิธี ก็เป็นอีกหัวใจสำคัญที่จะช่วยกระจายน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด


โกดังเก็บของ เก็บสินค้า ให้เช่าในราคาถูก ราคารวมภาษีทุกอย่าง ทำให้สามารถลดต้นทุนของลูกค้าได้
ที่สำคัญโกดังให้เช่า ตั้งอยู่ในทำเลทอง

หรือสนใจสอบถาม โกดังเก็บสินค้าของ bkkwarehouse

Hotline : 089-768-5205 / 063-829-6219  Telephone : 0-2394-5409

LINE ID : @bkkwarehouse
https://lin.ee/5CuTpWq

บทความแนะนำ